![]()
นับจากวันที่ Google ได้เปิดตัว Pixel 4 และ Pixel 4 XL ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆมากมาย บางอย่างหายไป บางอย่างเพิ่มเข้ามาใหม่ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ดู Live เสร็จก็กดพรีออเดอร์ทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น (ยังไม่ทันรู้เลยว่าข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง) จนตอนนี้ได้มาอยู่ในมือเพื่อมาพรีวิวเรียกน้ำย่อยกันแล้ว
ตัวเครื่องจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ Just Black, Clearly White และ Oh So Orange ที่เป็นสีพิเศษสำหรับรุ่นนี้ โดยตัวเครื่องที่ใช้ในการพรีวิวครั้งนี้ก็คือ Pixel 4 สี Oh So Orange และ Pixel 4 XL สี Cleary White นั่นเอง
![]()
จะเห็นว่ากล่องของทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ จุดที่แตกต่างกันก็คือชื่อรุ่นและภาพตัวเครื่องที่อยู่บนกล่อง
โดยในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W, สาย USB-C, หัวแปลง USB-A เป็น USB-C และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น + เข็มจิ้มถาดซิม
![]()
และผมก็รู้สึกว่าตัวกล่องข้างในเหมือนกับของ Pixel 3 มากๆ เพราะจำรูปแบบการวางอุปกรณ์์ต่างๆข้างในได้
![]()
สงสัยอยากจะประหยัดค่าดีไซน์์กล่องแน่ๆเลย
สำหรับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W ที่ให้มาก็จะจ่ายไฟ 5V/3A และ 9V/2A
![]()
ทีนี้มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้างดีกว่า
ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ Android 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และใช้ Qualcomm Snapdragon 855 ที่เป็น 64-bit Octa-core โดยมีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.84 GHz + 1.78 GHz ที่มาพร้อมกับ Qualcomm Adreno 640 ส่วน RAM ก็ให้มามากถึง 6GB และความจุสำหรับเก็บข้อมูลจะมีให้เลือกระหว่าง 64GB และ 128GB
สำหรับ Pixel 4 นั้นจะมีการดีไซน์ตัวเครื่องที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะในรุ่นนี้ผิวของตัวเครื่องจะใช้วัสดุผิวด้าน (Matte) ทั้งหมด ไม่ได้เป็นผิวเงา (Glossy) บางส่วนเหมือนรุ่นก่อนๆ และด้านข้างตัวเครื่องใช้เป็นสีดำที่เป็นผิวด้านไม่ว่าตัวเครื่องจะเป็นสีใดก็ตาม
![]()
สำหรับตัวเครื่องสี Oh So Orange ตอนที่ได้สัมผัสของจริงก็มีคำถามแรกผุดขึ้นมาในใจเลยว่า “มันส้มตรงไหนกันเนี่ย?” เพราะสีส้มที่ว่านี้มันออกไปทางสีชมพู จึงทำให้รู้สึกว่ามันเป็นสีส้มอมชมพูมากกว่าที่จะเป็นสีส้มล้วนๆ
และยิ่งเวลาตัวเครื่องโดนแสงแดด เวลามองมุมข้างก็จะรู้สึกว่าออกไปทางสีชมพูมากกว่าเสียอีก
![]()
สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะมีแค่ช่องไมโครโฟนเท่านั้น ซึ่ง Pixel 4 จะใส่ไมโครโฟนมาให้มากถึง 3 ตัวด้วยกัน (ด้านบนของตัวเครื่อง, ด้านล่างของตัวเครื่อง และด้านหลังของตัวเครื่อง)
![]()
ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องไมโครโฟน, USB-C 3.1 และช่องลำโพง (เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา) ซึ่งผมก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่รุ่นนี้ย้ายลำโพงมาอยู่ใต้เครื่องเหมือนกับ Pixel 3A แล้ว ส่วนช่องหูฟัง 3.5mm นั้น อย่าไปถามหาเลย…
![]()
ด้านข้างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องใส่ถาดซิมแบบ Nano SIM และรุ่นนี้ก็รองรับ e-SIM ได้เหมือนเดิมนะ
![]()
ส่วนด้านข้างฝั่งขวาจะมีแค่ปุ่ม Power และ Volume เท่านั้น และสำหรับปุ่ม Power ถ้าเป็นเครื่องสี Just Black จะได้ปุ่มเป็นสีขาว ส่วนเครื่องสี Clearly White จะได้ปุ่มเป็นสีส้มแบบสีของตัวเครื่อง Oh So Orange ส่วนตัวเครื่องสี Oh So Orange จะได้ปุ่มที่มีสีอ่อนกว่าสีตัวเครื่องหน่อยนึง
![]()
และเป็นที่รู้กันว่าไม่มีช่องใส่ SD Card ให้อยู่แล้วสำหรับตระกูล Pixel
เมื่อลองเทียบระหว่าง Pixel 4 กับ Pixel 3 ก็จะเห็นความแตกต่างระหว่างดีไซน์ตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะขอบด้านข้างตัวเครื่ืองที่เป็นสีดำด้าน ต่างจากรุ่นก่อนๆที่เป็นสีตามเครื่องและเป็นวัสดุให้ความรู้สึกเหมือนกระจก และด้านหลังตัวเครื่องก็ทำเป็นผิวด้านทั้งหมดแล้ว
![]()
หน้าจอจะใช้เป็น OLED ที่รองรับ HDR ในอัตราส่วน 19:9 โดย Pixel 4 จะได้ความละเอียดหน้าจอ 2,280 x 1,080 ส่วน Pixel 4 XL จะอยู่ที่ 3,040 x 1,440 px โดยทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกับ Smooth Display ที่จะแสดงผลที่ 90Hz ทำให้ภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอมีความลื่นไหลมากขึ้น ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่คิดว่ามันจะต่างกันแค่ไหนนะ แต่พอได้ลองใช้งานจริงก็ต้องยอมรับจริงๆว่าทำไมต้อง 90Hz
![]()
สิ่งหนึ่งที่แอบกังวลก็คืือมุมโค้งของหน้าจอแสดงผลจะโค้งไม่สวยเหมือนที่เจอใน Pixel 3A แต่พอได้มาจับของจริงก็พบว่าทำมุมโค้งได้สวยมาก และมีมุมโค้งที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆด้วย
![]()
สำหรับ Pixel 4 จะเห็นว่าด้านหน้าของตัวเครื่องหน้าจอทุกด้านจะชิดกับตัวเครื่องหมด ยกเว้นข้างบน เพราะว่ามีเซ็นเซอร์ต่างๆอยู่นั่นเอง โดยจะมีทั้งกล้อง NIR, Dot Projector และ Flood Emitter สำหรับการปลดล็อคด้วยใบหน้า, กล้องหน้า 8MP, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, ช่องลำโพง และ Radar Sensor สำหรับ Motion Sense
![]()
ด้านหลังของตัวเครื่องจะมีทุกๆอย่างอยู่ที่มุมซ้ายบนของตัวเครื่อง โดยจะมีทั้งกล้องคู่, Spectral + Flicker Sensor, Dual LED Flash และช่องไมโครโฟน
กล้องหลังจะมี 2 ตัวด้วยกันคือเลนส์ปกติความละเอียด 12.2 MP รูรับแสง ƒ/1.7 และเลนส์เทเล 16 MP รูรับแสง ƒ/2.4 โดยกล้องหลังจะมีระบบกันสั่นและ Spectral + Flicker Sensor สำหรับแก้ปัญหาการถ่ายภาพหรือวีดีโอบนหน้าจอแล้วเห็นภาพเป็นเส้นๆ โดยตัวกล้องหลังจะรองรับการถ่ายวีดีโอได้ถึง 4K แต่ว่ายังคงอยู่ที่ 30fps เท่านั้น ส่วน 1080p นั้นเลือกได้เลยว่าจะเป็น 30fps, 60fps หรือ 120fps
![]()
ส่วนกล้องหน้าจะมีเพียงตัวเดียว โดยมีความละเอียด 8 MP รูรับแสง ƒ/2.0 เป็นแบบ Fixed focus และรองรับการถ่ายวีดีโอที่ 1080p/30fps ซึ่งผมก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตัดสินใจใช้เป็น Fixed Focus แทนที่จะเป็น Auto Focus
สำหรับกล้องจะยังไม่พูดถึงอะไรมากนัก เพราะว่าผมยังไม่ได้มีโอกาสออกไปถ่ายรูปเล่นซักเท่าไร
และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือโลโก้ตัว G ของ Google ที่อยู่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งในรุ่นนี้ตรงโลโก้จะมีการปั้มผิวนูนขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
![]()
ส่วนแบตเตอรีของ Pixel 4 จะมีความจุ 2,800 mAh ส่วน Pixel 4 XL จะมีความจุ 3,700 mAh ซึ่งหลายๆคนบอกว่า Pixel 4 ให้แบตเตอรีมาน้อยไป แต่ผมก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าแบตเตอรีเพียงเท่านี้จะสามารถอยู่ได้เต็มวันหรือไม่
![]()
![]()
แต่ที่แน่ๆคืือรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดย Pixel 4 จะหนัก 162 g และ Pixel 4 XL หนัก 193 g ส่วนขนาดของตัวเครื่องแตกต่างจากเดิมไม่มากนัก
ถึงแม้ว่าลำโพงของตัวเครื่องจะยังคงเป็น Stereo เหมือนเดิม แต่ผมก็แอบไม่ชอบการวางตำแหน่งของช่องลำโพงในรุ่นนี้ซักเท่าไร เพราะมิติเสียงมันดูไม่ค่อยสมดุลเวลาใช้งานจริง
![]()
ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับ Pixel 4 ก็คือการใช้ Face Unlock โดยสมบูรณ์ ไม่มี Fingerprint Scanner อีกต่อไป และ Live Caption (แสดง Caption จากเสียงในเครื่องไม่ว่าจะเปิดแอพอะไรก็ตาม) ที่สามารถใช้งานได้เลย ในขณะที่รุ่นก่อนๆต้องต่อคิวรอไป นอกจากนี้ยังได้ใช้ Live Wallpaper ของ Pokemon ที่พิเศษสำหรับ Pixel 4 ด้วยล่ะ ซึ่งเราสามารถใช้ Motion Sense เพื่อโต้ตอบกับตัวละครบนหน้าจอได้ด้วย
Motion Sense นั้นสามารถทำได้แค่บางอย่างเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกหวือหวามากนัก ที่ได้ใช้บ่อยสุดก็จะเป็นการเปลี่ยนเพลงเท่านั้น ซึ่งสามารถปัดมือตอนที่ปิดหน้าจอได้ด้วย (น่าจะต้องเปิด Always On ไว้ด้วย) โดยจะมีแถบสีขาวๆที่ข้างบนสุดของหน้าจอเพิ่อแสดงให้รู้ว่า Motion Sense กำลังทำงานอยู่
![]()
ส่วน Face Unlock นั้นก็สามารถทำได้ไวมาก ยกขึ้นมาปุปก็สามารถปลดล็อคหน้าจอได้ทันที (ลองหลับตาแล้ว ปลดล็อคไม่ได้นะ
)
![]()
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ส่วนการใช้งานจริง Pixel 4 จะตอบโจทย์หรือไม่ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก็ต้องโปรดอดใจรอรีวิวฉบับเต็มๆจาทีมงานนะครับ
23/10/2019 05:45 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย