หลังจากเปิดตัวไปเมื่อกี่ชั่วโมงก่อนสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ ที่รอบนี้ Apple ขนมาถึง 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ว่าแต่ ทั้ง 4 รุ่นมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง รวมถึงซื้อรุ่นไหนคุ้มเหมาะกับการใช้งานที่สุด มาหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ
ในรอบนี้ Apple ได้เลือกใช้หน้าจอแบบ Super Retina XDR Display (หรือ OLED นั่นแหละ) บน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น แต่จะมีความแตกต่างกันที่ความละเอียดหน้าจอ และค่าความหนาแน่นของพิกเซลต่อขนาดจอ ซึ่งในส่วนนี้ iPhone 12 Mini จะมี Pixel Per Inches ที่มากสุดที่ 476 แต่ถ้าวัดกันที่ความละเอียด ตรงนี้ iPhone 12 Pro Max นอนมาเลย ใส่ความละเอียดมาให้ที่ 2778 x 1284 พิกเซล
แต่ก็น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้ว iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ยังคงไม่มาพร้อมกับค่ารีเฟรชเรท 120Hz ตามที่มีข่าวลือกันในตอนแรก
โดยในเรื่องของการใช้งานกลางแสงแดด iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นสามารถดันไปได้ไกลสุด 1200 nits เรียกว่าใช้งานได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งสายตา แต่อันนี้คือแบบ HDR นะ ถ้าแบบ Manual เปิดเอง จะดันได้แค่ 625 nits (บน iPhone 12 Mini และ iPhone 12) และ 800 nits (บน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max)
เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ Apple เลือกใส่ชิปเดียวกันใน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น โดยชิปที่ว่าก็คือ A14 Bionic ที่มีสถาปัตยกรรมการผลิตอยู่ที่ขนาดเล็กจิ๋วเพียงแค่ 5 นาโนเมตรเท่านั้น โดยในส่วนนี้ทาง Apple เคลมว่าชิป A14 นั้นเป็นชิปที่แรงที่สุดในโลกของฝั่งสมาร์ทโฟนตอนนี้ แถมยังประมวลผลกราฟิกเร็วกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ อยู่อีก 50% เลยด้วยกัน
ซึ่งตรงนี้จะบอกว่าซื้อ iPhone 12 รุ่นไหนก็ได้ประสิทธิภาพใกล้ๆ กัน ก็สามารถบอกได้แบบเต็มปากเต็มคำเลยล่ะ ไม่มีรุ่นไหนที่ด้อยกว่าใครเลยทีเดียวพอพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน ความเร็ว หรือความแรงต่างๆ
เรื่องกล้องเหมือนจะเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย iPhone 12 Mini และ iPhone 12 จะมาพร้อมกับเซ็ตอัพกล้องหลังที่เหมือนกัน ประกอบด้วยเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 12MP เลนส์ 7 ชิ้น และกล้อง Ultra-Wide 12MP มุมกว้าง 120 องศา สามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แถมยังมี Computational Photography ที่จะเข้ามาช่วยให้การถ่ายภาพย้อนแสง หรือสถานการณ์ต่างๆ สวยสดงดงามขึ้นอีกด้วย
ส่วน iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมากับกล้องหลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่า iPhone 12 Mini และ iPhone 12 อยู่เกือบเท่าตัว โดยทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว Wide, Ultra-Wide และ Telephoto ความละเอียด 12MP + เซ็นเซอร์ LiDAR ที่จะเข้ามาช่วยให้การใช้งาน AR หรือถ่ายโหมดหน้าชัดหลังเบลอดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การโฟกัสในที่แสงน้อยดีขึ้นกว่าเดิม 6 เท่าอีกด้วย
นอกจากนี้ระบบกันสั่น OIS ของ iPhone 12 Pro Max จะย้ายมาเป็นแบบ Sensor-Shift หรือพูดง่ายๆ มีกันสั่นที่ตัวเซนเซอร์ด้วย ซึ่งปกติบนมือถือจะอยู่ที่ตัวเลนส์เพียงอย่างเดียว พอเป็นแบบนี้การทำงานของระบบกันสั่นบน iPhone 12 Pro Max จะทำออกมาได้ดีกว่า (ตัว OIS ของ iPhone 12 Mini, iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะเป็นแบบกันสั่นบนตัวเลนส์)
iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ต่างรองรับระบบชาร์จไวที่ความเร็วสูงสุด 20W ผ่านพอร์ต Lightning ที่ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที ได้แบตมาใช้ 50% และ Wireless Charging ความเร็ว 15W แต่ข่าวร้ายก็คือ ข่าวลือที่บอกว่าปีนี้ Apple จะไม่แถมหัวชาร์จและหูฟังมาในกล่อง iPhone 12 อันนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ โดย Apple โดยให้เหตุผลว่าเพื่อสิ่งแวดล้อม
iPhone 12 Mini | iPhone 12 | iPhone 12 Pro | iPhone 12 Pro Max | |
![]() | ![]() | ![]() | ![]() | |
หน้าจอ | OLED 5.4″ | OLED 6.1″ | OLED 6.1″ | OLED 6.7″ |
ความละเอียด | 2340 x 1080 / 476 ppi | 2532 x 1170 / 460 ppi | 2532 x 1170 / 460 ppi | 2778 x 1284 / 458 ppi |
ชิปเซ็ต | A14 Bionic | |||
ความจุ | 64GB / 128GB / 256GB | 128GB / 256GB / 512GB | ||
กล้องหลัง |
| Pro Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal
| Pro Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal
| |
Deep Fusion | ได้ทุกเลนส์ | |||
ประสิทธิภาพการซูม | Digital Zoom 5x | Optical Zoom 2x Digital Zoom 10x | Optical Zoom 2.5x Digital Zoom 12x | |
กล้องหน้า | TrueDepth 12MP f/2.2 ถ่ายวิดีโอ 4K @60fps รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision | |||
ถ่ายวิดีโอ | 4K @60fps / HDR แบบ HDR Dolby Vision 60fps (บน 12 Mini และ 12 ได้ 30fps) | |||
5G | รองรับ sub-6 GHz และ mmWave | |||
การเชื่อมต่อ | WiFi 6, BT 5.0 | |||
สแกนลายนิ้วมือ | ไม่มี | |||
Face ID | รองรับ | |||
ระบบชาร์จไว | 20W | |||
ชาร์จไร้สาย | รองรับ | |||
พอร์ตชาร์จ | Lightning | |||
ลำโพง | คู่สเตอริโอ | |||
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น | IP68 | |||
ขนาด | 131.5 x 64.2 x 7.4 มม. | 146.7 x 71.5 x 7.4 มม. | 146.7 x 71.5 x 7.4 มม. | 160.8 x 78.1 x 7.4 มม. |
น้ำหนัก | 135 กรัม | 164 กรัม | 189 กรัม | 228 กรัม |
โดย Apple จะเริ่มเปิดให้จอง iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม ก่อนจะวางขายพร้อมกันสำหรับประเทศที่เป็น Tier 1 ในวันที่ 23 ตุลาคมที่จะถึงนี้ครับ ส่วนรุ่นเล็กอย่าง iPhone 12 Mini และ iPhone 12 จะตามมาทีหลัง พรีออเดอร์วันแรก 6 พฤศจิกายน และวางขายพร้อมกัน 13 พฤศจิกายนนี้
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนก็อาจจะได้คำตอบแล้วว่าตัวเองจะเลือกซื้อ iPhone 12 รุ่นไหนดี ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าหากใครไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ก็จัดตัว iPhone 12 Pro Max ไปเลย เพราะสเปคที่ได้มานี่จัดเต็มจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องกล้อง ทั้งระบบกันสั่นแบบ Sensor-Shift ที่ถึงเวลาใช้งานจริงๆ ทำผลงานออกมาได้ดีกว่าระบบกันสั่น OIS ปกติทั่วไปมาก
แต่ถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องกล้องมากขนาดนั้น iPhone 12 Mini ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะสเปคก็แทบจะไม่ค่อยต่างอะไรกับตัว Pro Max มากซักเท่าไหร่ แถมได้จุดเด่นที่มีขนาดเบาเพียงแค่ 135 กรัมเท่านั้น
เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่นิสัยการใช้งานมือถือของแต่ละคนแล้วล่ะครับ ถ้าใครชอบถ่ายรูปหรือเป็นสายถ่ายวิดีโอบ่อยๆ อันนี้บอกเลยให้มองข้าม 64GB ไปเลย ให้มองพวกความจุสูงๆ อย่าง 128GB / 256GB / 512GB เลยดีกว่า
13/10/2020 06:30 PM
13/10/2020 09:21 AM
13/10/2020 12:33 PM
2014 © ปพลิเคชันไทย