เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเล็กที่สเปคแทบจะขี่คอรุ่นพี่อยู่แล้วอย่าง Galaxy S20 Fan Edition ที่รอบนี้มีให้เลือกทั้งตัวชิปเซ็ต Snapdragon 865 และ Exynos 990 เลย …ว่าแต่ถ้านำเจ้า Galaxy S20 FE ไปเทียบกับเรือธงต้นปีในซีรีส์เดียวกันอย่าง Galaxy S20, S20+ และ S20 Ultra จะเป็นยังไงกันบ้างนะ ซื้อรุ่นไหนจะคุ้มกว่ากัน สเปคเหมือน-ต่างกันตรงไหนบ้าง?
เริ่มด้วยขนาดตัวเครื่อง และความยากง่ายของการพกพากันดีกว่า โดยแต่ละรุ่นก็จะมีขนาดตัวเครื่องตามนี้
จะเห็นว่าถ้าวัดกันในเรื่องนี้ Galaxy S20 จะเป็นมือถือที่พกพาง่ายที่สุด น้ำหนักเบาที่สุด ส่วน Galaxy S20 Ultra นี่หนักสุดเลยที่ 220 กรัม ขณะที่ Galaxy S20 FE นั้นจะอยู่กลางๆ ที่ 190 กรัม ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าแอบหนักอยู่นิดนึง แต่ถ้าไม่ซีเรียสอะไร สมาร์ทโฟนทั้ง 4 รุ่นก็ถือว่าไม่ได้มีน้ำหนักที่มากเกินไปขนาดนั้น (ยกเว้น Galaxy S20 Ultra ที่หนักเกิน ฮ่าๆ)
ในเรื่องของหน้าจอ ตรงนี้ Galaxy S20 FE แม้ว่าจะใช้เป็นแบบ AMOLED เหมือนกัน ค่ารีเฟรชเรท 120Hz เท่ากัน แต่เมื่อลงลึกไปอีกนิดจะสังเกตเห็นว่าชื่อเรียกจะแตกต่างกัน และแน่นอนว่ามีฟีเจอร์ที่ต่างกันด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าหากเทียบกันแบบนี้ หน้าจอของ Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่น ย่อมเหนือกว่าหน้าจอของ Galaxy S20 FE อยู่แล้ว อีกทั้งความละเอียดยังใส่มาให้ที่ WQHD+ อีกด้วย ขณะที่ Galaxy S20 FE มีความละเอียดที่ Full HD+ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ถ้าจะปรับรีเฟรชเรท 120Hz บน Galaxy S20 Series ก็จะต้องดันความละเอียดลงเหลือแค่ Full HD+ เท่านั้น
ข้อนี้น่าจะเป็นจุดด้อยที่สุดของ Galaxy S20 FE เพราะเป็นตัวเดียวในบรรดา S20 Series ที่ใช้เป็น Reinforced Polycarbonate (พลาสติกระดับพรีเมียมที่แข็งแกร่งกว่าพลาสติกทั่วไป) พร้อม Haze Finish เคลือบด้านฝาหลังเหมือน Galaxy Note 20 ซึ่งรุ่นอื่นไม่ว่าจะเป็น S20, S20+, หรือ S20 Ultra จะใช้เป็น Gorilla Glass ทั้งหมด ที่จะได้เรื่องความหรูหรา และทนการแตกมากขึ้นเมื่อสัมผัสนั่นเอง
แต่ถ้ามองด้านดีของ Polycarbonate คือจะได้เรื่องความทนทานที่มากกว่า ตกไม่แตก, ผิวสัมผัสแบบ Haze Finish รวมถึงปกติแต่ละคนก็ติดกันรอยและใส่เคสด้วยกันอยู่แล้ว Galaxy S20 FE ก็ไม่ได้เสียหายนักจากข้อนี้
ส่วนด้านชิปเซ็ต Galaxy S20 FE เรียกว่ามาตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ที่อยากได้ชิปเซ็ตของ Qualcomm มาโดยตลอด ซึ่งถ้าใครใช้รุ่น 5G จะได้เป็น Snapdragon 865 แต่ถ้าต้องการประหยัดหน่อย คิดว่าแค่ 4G ก็เพียงพอแล้ว ก็จะได้เป็น Exynos 990 ในส่วน Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่น จะมีเพียงแค่ Exynos 990 ให้เลือกเท่านั้น
โดยเหตุผลที่แฟนอยากได้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 865 มากกว่า Samsung Exynos 990 ก็เป็นเพราะประสิทธิภาพที่เหนือกว่าทั้งความสามารถในการประมวลผล และการกินไฟที่น้อยกว่า ทำให้การใช้งาน Snapdragon จะมีแบตที่อึดและยาวนานกว่านั่นเอง ตรงนี้ทาง JerryRigEverything ได้ทำการทดสอบเอาไว้ให้แล้ว ใครที่สนใจอยากอ่านเพิ่มเติม ก็สามารถกดไปที่บทความด้านล่างได้เลยนะคร้าบ~
อีกหนึ่งจุดที่ Galaxy S20 FE นั้นดูจะกุมความได้เปรียบเหนือ Galaxy S20 และ S20+ ก็น่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน 5G เพราะรองรับการใช้งานทั้งคลื่น 700MHz และ 2600MHz เลย ส่วนในตระกูลรุ่นพี่อย่าง Galaxy S20 Series นั้น จะมีเพียงแค่ Galaxy S20 Ultra เท่านั้น ที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งก็จะรองรับทั้งคลื่น 700 (28) และ 2600 (n41) MHz เหมือนกัน
Galaxy S20 FE มากับกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 12MP, กล้อง Ultra-Wide 12MP และกล้อง Telephoto 8MP สามารถซูม Optical ได้ 3x และดัน Digital ได้ไกลสุดที่ 30x
ส่วน Galaxy S20 นั้นจะให้มาที่ 3 ตัวเช่นกัน แต่กล้อง Telephoto จะใช้เป็นเซนเซอร์ความละเอียดสูง 64MP แล้วเอามาครอปแทนที่จะใช้เป็น Optical Lens เพื่อให้ได้ความสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ขณะที่ Galaxy S20+ จะมีกล้อง 3 ตัวแบบเดียวกับ S20 แต่จะมีเพิ่มเซ็นเซอร์ DepthVision (ToF) เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัว สำหรับเอาไว้วัดระยะเบลอฉากหลังเวลาถ่ายโหมดหน้าชัดหลังเบลอด้วย
ขณะที่รุ่นพี่ใหญ่สุดอย่าง Galaxy S20 Ultra อันนี้จะใส่กล้องมาแบบโหดจัดแบบชัดเจน กล้องตัวหลักความละเอียด 108MP, กล้อง Ultra-Wide 12MP, กล้อง Telephoto เป็นแบบ Periscope 48MP และเซ็นเซอร์ DepthVision (ToF) สามารถดันซูมได้ไกลสุดลูกหูลูกตา 100x
Galaxy S20 Ultra มาพร้อมกับเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 108MP
เห็นแบบนี้แล้ว Galaxy S20 FE ไม่ได้มีสเปคกล้องที่ด้อยกว่า Galaxy S20 แล S20+ แต่อย่างใด ส่วนตัวยังมองว่ากล้อง Tele ที่เป็น Optical 3x ยังจะดีกว่าการใช้ความละเอียดสูงและครอปเอาอยู่ในระดับนึง ส่วนตัว Galaxy S20 Ultra ที่แม้จะมีสเปคเหนือกว่า แต่ก็แลกมากับกล้องที่ใหญ่เทอะทะ รวมถึงประสบปัญหาโฟกัสช้าจนต้องเพิ่มระบบโฟกัส Phase Detection มาให้ใน Galaxy Note 20 Ultra
แต่ถ้าเป็นเรื่องของการถ่ายวิดีโอ ตรงนี้ Galaxy S20 FE จะด้อยกว่า Galaxy S20, S20+ และ S20 Ultra อย่างชัดเจน เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K เท่านั้น ขณะที่รุ่นพี่ทั้ง 3 รุ่นต่างถ่ายได้สูงสุดที่ 8K เท่ากันทั้งหมด
ทั้ง Galaxy S20 FE, S20+มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4500 มิลลิแอมป์ ส่วน S20 Ultra จะเยอะสุดที่ 5000 mAh ส่วน Galaxy S20 นี่เหมือนจะไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม ใส่แบตมาให้แค่ 4000 มิลลิแอมป์เท่านั้น ทุกตัวรองรับระบบชาร์จไว 25W ด้วยกันทั้งหมด แต่ Galaxy S20 Ultra จะพิเศษกว่าที่รับได้สูงสุดถึง 45W ซึ่งเราได้เคยทดสอบแล้วว่าเมื่อใช้งานจริงหัวชาร์จ 45W ก็ไม่ได้ไวกว่า 25W ขนาดนั้น ซึ่งล่าสุดใน Galaxy Note 20 Ultra ก็ตัดการรองรับการชาร์จเร็ว 45W ออกไปเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนในเรื่องของ Wireless Charging และ Reverse Wireless Charging (การชาร์จไฟย้อนกลับไปให้อุปกรณ์อื่น) ตรงนี้ทั้ง Galaxy S20 FE, S20, S20+ และ S20 Ultra จะรองรับเท่ากันที่ 15W และ 4.5W ตามลำดับ
Galaxy S20 FE | Galaxy S20 | Galaxy S20+ | Galaxy S20 Ultra | |
หน้าจอ | Super AMOLED 6.5″ | Dynamic AMOLED 2X 6.2″ | Dynamic AMOLED 2X 6.7″ | Dynamic AMOLED 2X 6.9″ |
ความละเอียด | Full HD+ | WQHD+ | ||
รีเฟรชเรท | 120Hz | |||
กระจกนิรภัย | Gorilla Glass 3 ข้างหน้า – Reinforced Polycarbonate (พลาสติกระดับพรีเมียม) ข้างหลัง | Gorilla Glass 6 ทั้งหน้าหลัง | ||
ชิปเซ็ต | Snapdragon 865 (รองรับ 5G) Exynos 990 (รองรับแค่ 4G) | Exynos 990 | ||
RAM | 8GB (LPDDR5) | 12GB (LPDDR5) | ||
ความจุ | 128GB /256GB รองรับ microSD Card | 128GB รองรับ microSD Card | ||
กล้องหลัง | 3 ตัว
| 3 ตัว
| 4 ตัว
| 4 ตัว
|
การถ่ายวิดีโอ | 4K | 8K | ||
กล้องหน้า | 32MP | 10MP | 40MP | |
ลำโพง | คู่สเตอริโอ | |||
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ | ใต้หน้าจอ (Optical) | ใต้หน้าจอ (Ultrasonic) | ||
แบตเตอรี่ | 4500 mAh | 4000 mAh | 4500 mAh | 5000 mAh |
ระบบชาร์จไว | 25W | 45W | ||
Wireless Charging | 15W | |||
Reverse Wireless Charging | 4.5W | |||
การใช้งาน 5G | คลื่น 700MHz และ 2600MHz | ไม่รองรับ | คลื่น 700MHz และ 2600MHz | |
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น | IP68 | |||
ระบบปฏิบัติการ | One UI 2.5 บนพื้นฐาน Android 10 | One UI 2.0 บนพื้นฐาน Android 10 (ได้อัปเดตเป็น One UI 2.5) | ||
ขนาดน้ำหนัก | 190 กรัม | 163 กรัม | 186 กรัม | 220 กรัม |
จะเห็นว่าสเปคในภาพรวมของ Galaxy S20 FE นั้นแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่า Galaxy S20 Series ซักเท่าไหร่เลย แถมราคาเปิดตัวก็เริ่มต้นมาเพียงแค่ 20,900 บาทเท่านั้น เรียกว่าถูกกว่า Galaxy S20 รุ่นเริ่มต้นอยู่หลายพันเลยทีเดียว แต่สเปคที่ได้นี่แทบจะขี่คอกันแล้ว
Galaxy S20 FE มีออกมาทั้งหมด 3 รุ่นย่อย 3 ราคาดังนี้นะครับ
โดยจะมีจำหน่ายทั้งหมด 6 สีตามที่เปิดตัวมาเลย ไม่มีกั๊กสีเอาไว้แต่อย่างใด และโปรจอง Galaxy S20 FE ก็แรงจัด ๆ อีกด้วย คุ้มค่าแบบสุด ๆ
เปรียบเทียบกับราคาของ Galaxy S20 Series เมื่อครั้งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี
ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องสเปคอะไรขนาดนั้นว่ามือถือของเราต้องเป็นที่หนึ่งของทุกเรื่อง ตรงนี้บอกเลยว่า Galaxy S20 FE เหมาะมากๆ เลยนะ เพราะอย่างที่เห็นในตารางสเปคด้านบน จะเรียก Galaxy S20 FE เป็น “มือถือฆ่าเรือธง” ก็สามารถพูดได้เต็มปากแบบไม่เคอะเขิน ทั้งจอ Super AMOLED รีเฟรชเรท 120Hz, ชิป Snapdragon 865, กล้องหลัง 3 ตัว ซูม 30x, ใช้งาน 5G ได้ทุกเครือข่ายในไทย และแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh รองรับชาร์จไว 25W แถมได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 อีก
…แต่ถ้าใครอยากได้แบบจัดเต็มจริงๆ อันนี้ยังไงก็ต้อง Galaxy S20 Ultra แหละ
23/09/2020 03:13 PM
2014 © ปพลิเคชันไทย