ปีแห่งกล้องหน้าป๊อบอัพได้เริ่มขึ้นแล้วหลังจากมีข่าวว่ามือถือหลายรุ่นกำลังจะหลบหนีหน้าจอติ่งหรือรอยบากทั้งหลายด้วยกล้องที่ซ่อนเอาไว้ด้านบน และเปิดใช้งานด้วยกลไกมอเตอร์ ซึ่ง Vivo เป็นค่ายแรกที่ประเดิมใช้งานกับรุ่น NEX ไปก่อนหน้า และในปีนี้ก็นำมาใช้กับ Vivo V15 Pro ประเดิมเป็นรุ่นแรกของปี ซึ่ง droidsans นั้นได้เครื่องมารีวิวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลายๆ คนที่สนใจน่าจะเริ่มทำการกดจองหรือไปจองหน้าร้านกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีเวลาอีกสักพักกว่าเครื่องจะขายจริง งั้นเรามาเช็คของกันก่อนดีกว่าว่าในกล่องของ V15 Pro นั้นให้อะไรมาบ้าง (เอาเฉพาะในกล่องจริงๆ ไม่รวมของแถมนอกกล่องนะครับ)
เช็คลิสต์กันได้ตามนี้เลย ตัวเครื่อง V15 Pro, ฟิล์มกันรอย (แปะมาให้บนหน้าจอเครื่อง), เคสกันกระแทก, หม้อแปลง, สาย micro USB, หูฟัง small talk 3.5 มม. และก็มีเข็มจิ้มถาดซิมที่ลืมถ่ายรูปมาให้ดู แต่มีในกล่องแน่นอน
หม้อแปลงจ่ายไฟสูงสุด 9V 2A (18W) และตัวเครื่องรองรับระบบ Dual Engine Fast Charge
หน้าจอ Ultra FullView Display ขนาด 6.39 นิ้ว มันสุดขอบและดูสะอาดตาดีครับ ส่วนคางหรือขอบจอด้านล่างอาจจะหนากว่าขอบด้านอื่นนิดๆ ใช้กระจก 3D Glass มีฟิล์มแปะมาให้เรียบร้อย
ด้านหลังตัวเครื่องของสีน้ำเงิน Topaz Blue น้้นนอกจากจะไล่โทนน้ำเงินเข้มที่มุมแล้ว ยังมีริ้วเป็นลายพาดผ่านมาบริเวณกลางเครื่องด้วย
พอร์ตด้านล่างนั้นใช้เป็น micro USB อาจจะดูย้อนยุคไปนิด แต่ก็ยังถือว่าหาชาร์จได้ง่ายอยู่ ฝั่งซ้ายสุดในภาพคือช่องลำโพง ส่วนตำแหน่งของไมโครโฟนกับเข็มจิ้มซิมนี่ผมแทงพลาดไปรอบนึงแล้ว ไม่ได้สังเกตุดีๆ ฮ่าๆ
ถาดซิมด้านล่างนั้นพอจิ้มออกมาจะเห็นว่ามีแค่ช่องใส่นาโนซิม 2 ช่องเท่านั้น อันนี้รองรับ 2 ซิม 4G และมี VoLTE ให้ใช้งาน
ส่วนใครที่แปลกใจแล้วแบบนี้จะใส่ micro SD ตรงไหน? มันจะอยู่มุมซ้ายบนของตัวเครื่องครับ มีช่องให้จิ้มแยกออกมาใส่หน่วยความจำเพิ่มตรงนี้ ส่วนปุ่มฝั่งนี้ใช้สำหรับเรียก Google Assistant นะครับ
ปุ่มปรับเสียงและปุ่มเพาเวอร์จะอยู่ด้านขวา ส่วนกล้องหลังนั้นจะเห็นว่านูนขึ้นมาหน่อยๆ จากในภาพนี้ เพราะเท่าที่ดูแล้วมันเหมือนจะรวมกับส่วนท่อที่เป็นมอเตอร์ของกล้องหน้าด้วย
จากมุมด้านบนจะเห็นว่าช่องกล้องนั้นถูกเจาะเอาไว้รอเด้งขึ้นมา และขวาสุดคือช่องหูฟัง 3.5 มม. และไมค์ตัดเสียงรบกวน
3 กล้องหลัง Triple AI Camera นั้นเป็นกล้อง 48MP – 12MP Quad Pixel จับคู่กับกล้อง 5MP ที่เป็น Depth sensor วัดความลึก ส่วนอีกกล้องที่เปิดใช้งานได้คือ Ultra Wide ความละเอียด 8MP
คราวนี้มาลองดูตัวเคสกันบ้าง Vivo V15 Pro นี่จัดเต็มแถมเคสดีงามมาเลยกรอบดำ ฝาหลังใส ตรงปุ่มก็มีซ้อนให้อีกชั้น
ผมเองเจอปัญหานิดหน่อยคือปุ่มปรับเสียงทั้งลดและเพิ่มมันจะแข็งกว่าปุ่มเปิดเครื่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแข็งมากจนกดไม่ได้ แต่จะรู้สึกลำบากนิดๆ ตอนต้องกดจับภาพหน้าจอพร้อมกัน 2 ปุ่มนี่แหละ
ด้านล่างมีจุกปิดช่อง micro SD มาให้ด้วย เอาไว้กันฝุ่นเข้า
จุดที่ประทับใจของเคสนอกจากความแข็งแกร่งแล้ว ช่องที่เจาะเอาไว้ด้านบนสำหรับกล้องป๊อบอัพนั้นทำออกมาได้ดีเลย
พอกล้องเลื่อนขึ้นมาแล้วตำแหน่งพอดีมากๆ แต่ก็แอบแปลกใจว่าทำไมคือทำให้เคสมันนูนขึ้นมาตรงกล้องด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าไม่อยากให้ตัวเครื่องและเคสมันหนาเกินไป
กล้องหน้า 32MP ป๊อบอัพเซลฟี่ สังเกตุจากภาพจะเห็นว่ามันก็มีโอกาสที่จะมีฝุ่นเข้ามาติดแล้วต้องเช็ดออกอยู่เหมือนกัน
รอบนี้ทาง Vivo ยกระดับ Funtocuh OS กระโดดข้ามมาเป็นเวอร์ชั่น 9 ให้เท่ากับ Android 9 Pie ไปเลย จะได้จำง่ายและไม่สับสน แม้หน้าตาและการใช้งานต่างๆ จะยังเหมือนกับรุ่นก่อนๆ ส่วนนึงก็น่าจะเพื่อให้แฟนๆ ของ Vivo ไม่สับสน
ปุ่มนำทาง Navigation Key ด้านล่างนั้นจะเลือกเปิดแตะเอา หรือจะปิดแล้วใช้เป็น gesture ก็ได้ ส่วนหากเราปัดหน้าจอไปทางซ้ายก็จะเจอกับหน้าผู้ช่วยของ Jovi Assistant ที่จะเก็บเอาข้อมูลสำคัญๆ ส่วนตัวและสิ่งที่เราติดตาม เช่นตารางนัดหมาย สภาพอากาศ หรือแอปที่ใช้บ่อยๆ
สำหรับแถบรายการแจ้งเตือนต่างๆ นั้นก็ต้องลากนิ้วจากด้านบนของจอภาพลงมาเหมือนปกติ แต่การตั้งค่าด่วนหรือเปิด Quick Setting นั้นต้องเลื่อนจากด้านล่างของจอขึ้นมา
ซึ่งหากเรามีการเปลี่ยนจาก 3 ปุ่มไปใช้เป็น gesture แล้ว รูดขอบจอล่างซ้ายจะเป็นการเรียก Quick Setting, รูดตรงกลางจะเป็นการกลับหน้า Home และทางขวาจะเป็นปุ่มย้อนกลับหรือ Back ส่วนจะเปิดแอปล่าสุดนั้นต้องรูดตรงกลางแล้วค้างนิ้วไว้บนหน้าจอ
ในรุ่น Vivo V15 Pro นั้นมีระบบความปลอดภัยแบบ Biometric อยู่ 2 ระบบ คือการใช้ตัวสแกนลายนิ้วมือแบบ Optical ที่ฝังอยู่ใต้จอ และการสแกนใบหน้าแบบ 2 มิติ
จากที่ทดสอบระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอของ V15 Pro นั้นทำงานได้เร็วและไม่มีปัญหา เวลาในการปลดล็อคเร็วกว่ารุ่นก่อนๆ ของ Vivo (แนะนำว่าตอนสแกนเก็บลายนิ้วมือก็พยายามขยับหลายๆ มุมหน่อย) ส่วนการสแกนใบหน้านั้นต้องใช้กล้องหน้าช่วย ซึ่งการเด้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบนั้นก็แทบจะทันที ไม่มีปัญหาอะไร
อีกส่วนที่มีเพิ่มเติมเข้ามาอย่างโหมดเกมนั้น จะถูกเรียกว่า Game Cube (คนละอันกับเครื่องเกมของ Nintendo) ซึ่งเราก็สามารเข้าไปเลือกเพิ่มประสิทธิภาพเกม ปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ได้นั่นเอง
ส่วนเวลาเข้าเกมไปแล้ว ก็จะมีหน้าจอขึ้นมาให้ปรับตั้งค่าอีกทีหนึ่ง เผื่อเราอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่มเติม
ชิป Snapdragon 675 AIE นั้นเป็นชิปที่ต่อยอดความแรงมาจาก Snapdragon 660 ยอดนิยมในปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นก็จะมีการรอัพเดทความเร็วแรงขึ้นมาจากเดิม
05/03/2019 04:19 AM
05/03/2019 03:09 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย