หลังจากเดินทางมาเปิดราคาในบ้านเราไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน สำหรับ OPPO Reno 4 ที่รอบนี้มากับ Snapdragon 720G, กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 48MP และระบบชาร์จไว VOOC Flash Charge 4.0 30W ทั้งหมดในราคาเพียงแค่ 11,990 บาทเท่านั้น…ว่าแต่พอเอาไปใช้งานจริงๆ จะเวิร์คซักแค่ไหน วันนีผมจะมาเขียนรีวิวให้อ่านกันครับ
เตือนไว้ก่อนว่า บทความรีวิว OPPO Reno 4 นี้จะค่อนข้างยาวนิดนึง ตรงนี้ผมเลยทำเป็นสารบัญเอาไว้ให้แล้ว ใครอยากทราบข้อมูลในส่วนไหนเป็นพิเศษ ก็สามารถกดไปที่หัวข้อนั้นๆ ได้เลยนะครับ~
เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่ก่อนจะรีวิวมือถือซักเครื่อง เราจะต้องมาแกะกล่องเช็คของกันก่อน โดยในกล่องของ OPPO Reno 4 จะมีอุปกรณ์แถมมาดังนี้
เอาล่ะ…เช็คของเสร็จแล้ว เรามาเริ่มกันรีวิวกันเลยดีกว่า
จุดแรกที่ผมประทับใจกับ OPPO Reno 4 มากๆ เลยก็คือ น้ำหนักของตัวเครื่อง โดยมือถือรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เบาเพียงแค่ 165 กรัมเท่านั้น ซึ่งน้ำหนักเท่านี้ถือว่าเหมาะมากๆ ไม่ว่าจะทั้งกับผู้ชาย หรือผู้หญิง จะเล่นทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่น่าจะเมื่อยมือแต่อย่างใด
ส่วนสัมผัสการจับถือ อันนี้ก็ต้องบอกว่า OPPO Reno 4 ทำผลงานออกมาได้ค่อนข้างดี งานประกอบแน่น กดปุ่มต่างๆ ไม่มีเสียงอี๊ดอ๊อดออกมา นอกจากนี้อีกหนึ่งจุดประทับใจของ OPPO Reno 4 ก็คือ แม้ว่าจะมีหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว แต่เมื่อลองใช้แบบจริงๆ จังๆ จะพบว่า มือถือรุ่นนี้ค่อนข้างจะกะทัดรัด (Compact) พอสมควรเลย ใครที่ชอบมือถือขนาดพอดีมือ OPPO Reno 4 น่าจะตอบโจทย์อยู่ไม่น้อย
มาสำรวจตัวเครื่องกันบ้างดีกว่า OPPO Reno 4 จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล สัดส่วนหน้าจอ 20:9 มีอัตราหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 83.5% โดย OPPO Reno 4 ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางๆ ที่มีขอบจอบน-ล่าง-ซ้าย-ขวาที่ค่อนข้างบาง ส่วนใครที่มีคำถามว่าหน้าจอเจาะรูของ OPPO Reno 4 จะทำให้เกิดความน่ารำคาญหรือเปล่า อันนี้ส่วนตัวจะรำคาญแค่ตอนแรกๆ แต่พอใช้ไปซักพัก ก็เริ่มชิน แบบว่าถ้าไม่มีใครทักว่าจอเจาะรู ก็ลืมไปเลยอะ
โดยปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และถาดใส่ซิม จะมากองอยู่ที่บริเวณด้านซ้ายมือของตัวเครื่องทั้งหมด
ซึ่งถาดใส่ซิมของ OPPO Reno 4 จะให้มาเป็นแบบ Triple Slot หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สามารถใส่ซิมเปิดใช้งานได้ 2 ซิม ในขณะที่ใส่ microSD Card เพิ่มความจุให้โทรศัพท์ไปแบบพร้อมๆ กันได้ ไม่ได้เป็น Hybrid Slot หรือ Single Slot แบบบางรุ่น
ขณะที่ฝั่งขวา จะมีเพียงแค่ปุ่ม Power เอาไว้สำหรับเปิด-ปิดเครื่องเท่านั้น ซึ่งตรงนี้ทาง OPPO ได้ใส่ลูกเล่นกิมมิคเล็กๆ เป็นสีเขียวเอาไว้ด้วย มองกี่รอบก็สบายตา ตรงนี้ชมเป็นการส่วนตัวเลย ฮ่าๆ
ด้านบนตัวเครื่องจะมีเพียงแค่ไมค์ตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนเวลาคุยโทรศัพท์ ส่วนด้านล่างจะมีรูหูฟัง 3.5 มม., ไมค์สนทนา, พอร์ต USB-C และรูลำโพง โดย OPPO Reno 4 จะมากับลำโพงแบบโมโนตัวเดียวเท่านั้น ไม่ใช่แบบสเตอริโอคู่
พลิกมาด้านหลัง จะเจอกับกล้องทั้งหมด 4 ตัว ประกอบด้วยเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 48MP, กล้อง Ultra-Wide 8MP, กล้อง Macro 2MP และกล้อง Mono 2MP แต่คุณภาพของกล้องจะเป็นยังไง ก็ต้องรอติดตามที่หัวข้อ CAMERA | กล้องถ่ายรูป นะคร้าบบ ~
OPPO Reno 4 มากับระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่มีพื้นฐานมาจาก Color OS 7.2 ซึ่งส่วนตัวผมถือรุ่นนี้เป็นเครื่องหลักมาเป็นเวลาเกือบๆ 2 สัปดาห์ ก็ไม่เจอกับอาการเครื่องค้างอะไรนะ แต่บางทีหากเปิดแอปหลายๆ แอปทิ้งไว้เยอะๆ ก็อาจจะต้องรีเครื่องบ้างในบางครั้ง
ซึ่ง Color OS 7.2 บน OPPO Reno 4 สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้งานต้องการจะทำให้ตัวไอคอนเป็นแบบกลมๆ คลีนๆ ก็สามารถทำได้ด้วยการ
การเปิดแอปทิ้งไว้หลายๆ แอป ตรงนี้ผมยังไม่เจออาการค้างแบบที่ทำให้หงุดหงิดนะ มีค้างแบบเป็นครั้งคราว แต่ก็น๊านนานทีเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าแปลกที่ OPPO Reno 4 จะทำผลงานออกมาได้เป็นที่น่าประทับใจในส่วนนี้ เพราะมือถือรุ่นนี้อัด RAM มาให้มากถึง 8GB เลยทีเดียว
และเมื่อนำ OPPO Reno 4 ไปใช้ในสภาพแสงแดดที่จ้าๆ ก็พบว่า สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถใช้งานได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งสายตา แต่ต้องปรับค่าความสว่างแบบสูงสุดนะ
OPPO Reno 4 มากับเซ็นเซอร์อัจฉริยะ หรือ Smart Sensor ที่จะเข้ามาทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานมือถือ ได้โดยที่มือไม่ต้องแตะโดนหน้าจอเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงนี้ถือว่าเหมาะมากๆ สำหรับตอนกินข้าว กินพิซซ่า กินไก่ทอด ที่ต้องใช้มือกิน อารมณ์แบบใจนึงก็อยากจะกดเล่นโทรศัพท์ไปด้วย แต่ก็กลัวมือถือจะเปื้อน ตรงนี้แหละที่ Smart Sensor จะมีประโยชน์มากๆ
การทำงานของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบน OPPO Reno 4 ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี เป็นที่ประทับใจ สแกน 10 ครั้ง ติดทุกรอบ แถมยังปลดล็อคได้ไวอีกต่างหาก…แต่ที่ไม่ค่อยโอเคก็คือตำแหน่งของตัวเซ็นเซอร์ เพราะอยู่เกือบติดขอบจอ ถ้าอยู่สูงกว่านี้อีกซักนิด น่าจะดีไม่ใช่น้อย
ในเรื่องของการใช้งาน GPS เจ้าตัว OPPO Reno 4 ไม่ได้ถือว่ามีจุดบกพร่องแต่อย่างใด เพราะจากที่ลองใช้กับแอปพวก Google Maps หรือแอป Delivery ต่างๆ ก็ยังไม่เจอกับปัญหาอะไร
ข่าวดีของคอหนัง และซีรีส์จาก Netflix เพราะ OPPO Reno 4 รองรับการถอดรหัส Security Level แบบ L1 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สามารถรับชมคอนเทนต์ได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD คร้าบบ~~~
OPPO Reno 4 มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 720G ที่สามารถดัน Clock-Speed ได้สูงถึง 2.3GHz โดยเมื่อนำไปเทียบกับแอปทดสอบประสิทธิภาพ CPU อย่าง Geekbench พบว่า… OPPO Reno 4 ทำคะแนนแบบ Single Core ไปได้ 570 แต้ม และแบบ Multi Core ได้ 1,779 แต้ม
ส่วนการทดสอบในส่วนหน่วยความจำ OPPO Reno 4 สามารถทำคะแนนจากแอป AndroBench แบบอ่าน 494.53 MB/s และแบบเขียนที่ 192.76 MB/s ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขมาตรฐานของหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 นั่นเอง
เอาล่ะ หลังจากทดสอบกับแอป Benchmark ต่างๆ มาแล้ว เราลองเอาเจ้า OPPO Reno 4 มาใช้งานเล่นเกมแบบจริงๆ จังๆ กันดีกว่า ว่าจะปรับกราฟิกได้ขนาดไหน เล่นแล้วกระตุกมั้ย ลื่นไหลหรือเปล่า ฯลฯ
โดยขอเริ่มจากเกมยอดฮิตที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนก็ยังติดกันงอมแงมอยู่อย่าง RoV ก่อนเลยแล้วกัน ในเกมนี้ OPPO Reno 4 สามารถปรับภาพได้ที่ระดับ สูงมาก ส่วนการแสดงผลก็ปรับได้สุดที่ สูง ขณะที่พาร์ติเคิลจะอยู่ที่ สูง เหมือนกัน และเมื่อนำไปลองเล่นจริงก็พบว่า OPPO Reno 4 สามารถเล่น RoV ได้แบบลื่นๆ เฟรมเรท 30fps ค่อนข้างนิ่ง
ส่วน PUBG ก็ไม่น้อยหน้า OPPO Reno 4 สามารถดันกราฟิกได้สูงสุดที่ HD และเฟรมเรทแบบ สูง
เท่ากับว่ารวมๆ OPPO Reno 4 จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่เอามาเล่นเกมได้สบายๆ แต่เรื่องความร้อน อันนี้ต้องบอกว่าหากเล่นไปนานๆ ต่อเนื่องกันหลายๆ เกม ตัวเครื่องอาจจะเริ่มอุ่น ๆ และหากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เฟรมเรทก็จะค่อย ๆ ลดลงเหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับกราฟิกที่เลือกเปิดด้วยนะครับ
รอบนี้ OPPO Reno 4 จัดเรื่องกล้องหลังแบบเต็มมากๆ มีด้วยกันทั้งหมด 4 ตัว ประกอบด้วยกล้องตัวหลักความละเอียด 48MP ใช้เป็นตัวเซ็นเซอร์ Sony IMX586, กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP, กล้อง Macro และกล้อง Mono ความละเอียด 2MP เท่ากัน โดยโหมดต่างๆ อย่าง Portrait, Ultra Dark Mode หรือโหมด Pro ก็ใส่มาให้ครบ
..ว่าแต่หากเอาไปถ่ายจริงๆ จะเป็นยังไง อันนี้ผู้อ่านสามารถตัดสินได้ด้วยตัวเองจากภาพด้านล่างเลยครับ
12/08/2020 01:20 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย