นานๆ ทีจะมีโอกาสเอามือถือไปรีวิวช่วงที่ได้เดินทางพอดี รอบนี้ผมหยิบเอา OPPO Reno 10x Zoom ติดไปโตเกียวแบบบสั้นๆ 3-4 วันด้วย ซึ่งเป็นทริปที่ไม่ได้มีการแพลนอะไรทั้งนั้น วันไหนตื่นกี่โมงอยากไปไหนก็ไป ปกติแล้วผมจะไปพักที่ Ikebukuro ซะส่วนใหญ่ แต่ทริปนี้เลือกไปแหมะแถว Ueno เผื่อจะเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อนแนะนำว่าแถวนี้เดินทางสะดวก ร้านค้าเยอะ และของกินเพียบ คือตั๋วนะจองไปก่อนแล้ว แต่ที่พักเพิ่งจะมากดก่อนเดินทาง 2-3 วัน ฮ่าๆ (เตือนไว้ก่อนว่ารูปเยอะมาก)
สำหรับการรีวิว OPPO Reno 10x Zoom รอบนี้จะขอข้ามส่วนของตัวเครื่องไปเลยนะครับ เน้นประสบการณ์ใช้งานล้วนๆ ใครอยากรู้รายละเอียดส่วนนี้ให้ไปดูที่ Unbox | แกะกล่อง Reno 10x Zoom เอาเนอะ
คือแค่ตอนเริ่มมาก็ลำบากใจนิดๆ เพราะว่าสีของ Reno 10x Zoom นั้นมันสวยคนละแบบ และมาคนละแนวเลยด้วย
สำหรับสี Ocean Green นั้นผิวสัมผัสเป็นแบบด้าน คล้ายๆ กับของ R17 Pro แต่ โทนสีและการไล่เฉดจะต่างกัน สีจะออกเขียวๆ ครามๆ เหมือนกับสีมหาสมุทรตามชื่อนั่นแหละ
ส่วนสี Jet Black มันกลับไม่ดำสนิท แต่แอบซ่อนเอาสีน้ำเงินๆ อมม่วงเอาไว้ข้างใน (แต่บางคนก็บอกว่าเป็นสีเทา) ซึ่งผิวตัวนี้จะเป็นมันวาวแบบ Glossy
บางคนอาจจะบอกว่าในภาพนี้ทำไมมันดูไม่ดำเลยสักนิด งั้นเดี๋ยวลองดูอีกมุมนึงละกันครับ
นี่หยิบขึ้นมาให้เห็นชัดๆ มันก็ดำเงาสลวยสวยเก๋ แบบที่ไม่ต้องใช้ซัลซิลค์หรือออด๊าซมาช่วยย้อมดำแต่อย่างใด แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกเอาสี Ocean Green ไป เพราะมันน่าจะเป็นรอยนิ้วมือยากกว่า เวลาถือหรือหยิบมาถ่ายตัวเครื่องก็จะไม่ต้องคอยระวังมาเช็ดเครื่องมาก (แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าใส่เคสตลอดทั้งทริป หยิบสีไหนมาก็ได้นี่นา ฮ่าๆ)
รอบนี้บินตรง ไม่ต้องไปพักเครื่องที่ไหน แต่ต้องพักสายตาของีบก่อนเพราะว่าบินรอบดึกตีหนึ่งตีสอง กะว่าไปถึงเช้าพอดี จำได้ว่าตอนใกล้จะถึงนี่พนักงานเดินมาปลุก กำลังงัวๆ เงียๆ ปรับที่นั่งแล้วกัปตันก็ประกาศเลยว่าอีก 30 นาทีเครื่องจะลง หากมองไปทางซ้ายจะเห็นยอดภูเขาไฟฟูจิ..
โชคดีนั่งริมหน้าต่าง ก็เลยเป็นที่มาของภาพชุดนี้ของ Reno 10x โดยเริ่มจากระยะ 1x ที่แทบจะมองไม่เห็นเลยว่าตรงนั้นคืออะไรขาวๆ กดๆ เพิ่มเป็น 10x ก็พอเห็นเค้าลางๆ และเอานิ้วลากไปสุดระยะที่ 60x เก็บภาพมาจนได้
ความรู้สึกอย่างแรกที่เกิดขึ้นเมื่อหยิบเครื่องขึ้นมาแบบเต็มๆ ก็คือ..น้ำหนัก และหลังจากหาข้อมูลก็พบว่าไม่ได้คิดไปเอง เพราะมันมีน้ำหนักถึง 215 กรัม เรียกว่า OPPO Reno 10x Zoom ครองตำแหน่งแชมป์ไปเลย เพราะในช่วงที่ผ่านมามือถือเรือธงนั้นมีไม่กี่รุ่นที่น้ำหนักเกิน 200 กรัม
แน่นอนว่าด้วยกลไกกล้อง Pivot Rising Camera + กล้อง Periscope 10x zoom นั้นจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้น้ำหนักมันเยอะกว่าชาวบ้าน แต่พอลองเอามาถือดีๆ กลับพบว่ามันบาลานซ์เรื่องของการถ่ายเทน้ำหนักได้ดี ไม่ได้รู้สึกหนักไปทางหัวหรือท้ายเครื่องแต่อย่างใด สำหรับใครที่คุ้นชินกับมือถือจอใหญ่ๆ หรือชอบมือถือหนักๆ จับแล้วตึงๆ มือหน่อยน่าจะชอบ
ส่วนของวัสดุและงานประกอบนั้นสวยงามลงตัว แน่นหนาแข็งแรง เก็บรอยต่อได้ดี ลูบๆ ไปไม่รู้สึกสะดุดหรือติดขัดตรงไหน ไม่มีรอยคมของผิววัสดุหลงเหลือ แม้แต่ช่อง USB C ก็มีการขัดรอบๆ ลบคมบริเวณขอบให้ด้วย
ส่วนกล้อง Pivot Rising Camera นั้น ใครที่เคยใช้มือถือกล้องเด้งสไตล์นี้มักจะเจอปัญหาคล้ายๆ กันคือฝุ่นอาจจะเข้าไปอยู่ในซอก และเวลาเลื่อนกล้องขึ้นมาฝุ่นก็จะไปบังหน้าเลนส์กล้องเซลฟี่
แต่จากที่ใช้มานั้นดู้เหมือนว่า OPPO ได้เรียนรู้จากเมื่อตอน Find X ที่ฝุ่นเขรอะไปหมด รอบนี้ใน Reno นั้นทำระบบเลื่อนและช่องในกล้องได้ดีขึ้น ป้องกันฝุ่น เวลาที่กล้องเลื่อนขึ้นมาจะสังเกตุเห็นว่าฝุ่นจะอยู่แค่บริเวณขอบๆ ด้านบนเท่านั้น เหมือนโดนดักเอาไว้ ไม่ลงไปเปื้อนบริเวณกล้องเซลฟี่
ความสว่างหน้าจอนั้นพร้อมใช้งานทุกสภาพแสง ออกแดดได้สบายๆ (ใครเคยไปญี่ปุ่นหน้าร้อนจะรู้เลยว่าแดดแรงไม่แพ้บ้านเรา) ซึ่งนอกจากจะสว่างได้แล้ว ในที่มืดๆ ก็ยังลดลงมาจนดำได้แบบเกือบจะมือดสนิทอีกต่างหาก เรียกว่าหากต้องใช้ในที่แสงน้อยๆ ก็ไม่ปวดตา
ส่วนเรื่องของสีนั้นก็มีการปรับจูนมาให้แล้ว โดยสามารถเลือกได้ 2 โหมดคือสีสด Vivid ซึ่งอิงการตั้งค่าจาก DCI P3 หรือสีนุ่มๆ ดูเป็นธรรมชาติหน่อยแบบ Gentle ที่อิงค่า sRGB
ถ้าสังเกตุที่หน้าจอจะเห็นว่าปุ่มด้านล่างแถบ navigation bar มันเปลี่ยนไปเหลือแค่ 2 ปุ่ม ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ได้เปลี่ยนครับ แต่ตอนนี้ Color OS 6 ของ OPPO นั้นเปิดให้เราสามารถปรับแต่งหน้าตาของ UI ได้มากกว่าเดิม ทั้งแบบ 3 ปุ่มดั้งเดิมของ Android หรือจะเปลี่ยนมาใช้แบบ Gesture ลากนิ้วไม่ต้องมีปุ่มเลยก็ได้ ส่วนแบบ 2 ปุ่มที่ผมใช้นั้นเป็นสไตล์ของ Pure Android
นอกจากการเลือกปรับเปลี่ยนโหมดนำทางได้แล้ว ใครที่ยังชอบใช้งาน App Drawer ก็เลือกเปิดได้ คราวนี้ก็จะได้ UI แบบใกล้เคียงกับ Android เลยทีเดียว ใครถนัดแบบไหนก็เลือกใช้ได้ตามสะดวก
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ของ Color OS นั้นก็ยังอยู่ครบ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ว่าจะเป็น
ปรับตั้งค่าทุกอย่างตามถนัดแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ซึ่งรอบนี้พยายามประหยัดเวลาให้มากที่สุด เลยเลือกเดินทางเข้าเมืองด้วย Skyline ใช้เวลาสั้นสุด (ใกล้ที่พักด้วย) ประมาณ 30-40 นาที
07/06/2019 01:29 PM
07/06/2019 11:36 AM
07/06/2019 11:22 AM
07/06/2019 10:20 AM
07/06/2019 01:11 PM
2014 © ปพลิเคชันไทย