ปีนี้เรียกว่าเป็นปีที่ดุเดือดจริงๆ สำหรับตลาดมือถือเกมมิ่งที่แต่ละค่ายต่างก็งัดลูกไม้เจ๋งๆ มาสู้กันอย่างเต็มที่ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ ASUS ROG Phone 3 มือถือเกมมิ่ง 5G ที่มากับสเปคแรงสุดของปี 2020 ทำให้มันเล่นเกมมือถือแบบปรับกราฟิกสูงสุดได้ทุกเกมแบบไม่มีอาการงอแงให้เห็น รวมถึงฟีเจอร์เด็ดๆ ที่เคยมีอยู่ใน ROG Phone 2 รุ่นที่แล้วก็ล้วนได้รับการอัปเกรดให้สมกับเป็นมือถือรุ่นใหม่ ส่วนจะมีอะไรบ้าง…มาดูกันเลยจ้า
ROG Phone 3 ที่เรามารีวิวในคราวนี้ เป็นตัวท็อปสุดที่จำหน่ายในประเทศไทย มากับชิป Snapdragon 865+, RAM 12GB และความจุ 512GB ส่วนอีกรุ่นที่วางขายด้วยกันเป็น ROG Phone 3 Strix Edition ที่ถูกลดสเปคลงมาเล็กน้อยเป็น Snapdragon 865, RAM 8GB ความจุ 256GB ครับ
ภายในกล่องของ ROG Phone 3 รุ่นที่ขายในบ้านเราก็จะให้มาแบบครบๆ เลย ทั้ง Aero Case, พัดลมระบายอากาศ Aero Active 3, ที่ชาร์จ 30W, สายชาร์จ และที่เพิ่มเข้ามาก็คือตัวแปลง USB-C > แจ๊ค 3.5 มม. เนื่องจากรุ่นนี้ตัดรูหูฟังทิ้งไปแล้วนะจ๊ะ
ROG Phone 3 ยังคงมีดีไซน์ที่แทบจะไม่ต่างจาก ROG Phone 2 เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดเท่าเดิมที่ 6.59 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอแบบปกติที่ไม่ได้เจาะรู ไม่ได้มี Notch และขอบก็ไม่โค้งด้วย ทำให้ขอบจอด้านบน-ล่าง ยังคงมีความหนาพอสำหรับวางกล้องเซลฟี่ และลำโพงสเตอรีโอ 2 ตัว
พลิกกลับมาดูที่ฝาหลัง ก็จะเจอกับลวดลายที่ดูล้ำสไตล์เกมมิ่งที่ต้องบอกเลยว่าเหมือนเดิมเกือบเป๊ะๆ ด้านขวามือมีแถบเท่ๆ แต่คราวนี้ไม่มีช่องระบายอากาศแล้ว ส่วนขอบเครื่องด้านซ้ายมีพอร์ต USB-C อีก 1 หนึ่งพอร์ตเพิ่มขึ้นมาสำหรับเสียบอุปกรณ์เสริม หรือเสียบชาร์จเวลาเล่นเกมในแนวนอน
พอร์ต USB-C ด้านข้างเครื่องสำหรับเสียบอุปกรณ์หรือชาร์จไฟ (มีจุกยางให้)
และที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือแถบกล้องหลังที่ยาวขึ้น เพราะมีกล้องเพิ่มมาเป็น 3 ตัวนั่นเอง และโมดูลจะนูนขึ้นมามากกว่ารุ่นเดิมเยอะเลย
โมดูลกล้องหลังที่นูนออกมาค่อนข้างมาก (จากเดิม ROG Phone 2 ที่เป็นระนาบเดียวกับตัวเครื่องไปเลย)
ทำให้ต้องคอยระวังนิดนึงเวลาเอาไปวางหงายจอขึ้น เพราะกล้องอาจไปขูดกับพื้นเป็นรอยเอาได้ แต่พอใส่เคสแล้วระดับของโมดูลกล้องจะพอดีกัน หมดห่วงเรื่องไปขูดอะไรเข้าได้
นอกจากนี้ไฟ RGB ที่เป็นโลโก้ ROG ด้านหลังเครื่อง คราวนี้สามารถเปิดทิ้งเอาไว้เท่ๆ ได้ตลอดเวลา จากเดิมที่ไฟจะติดเฉพาะตอนที่เปิด X Mode เท่านั้น
ใครอยากเท่เปิดไฟ RGB ทิ้งไว้ได้ตลอดเวลาก็ย่อมได้
จากการใช้งานจริง ถ้าใครไม่ชอบใส่เคสจะเจอปัญหานิดนึงคือตัวเครื่องด้านหลังมีความลื่นมากๆ จะเอาไปวางตรงไหนก็ต้องระวังนิดนึง เพราะหากพื้นที่วางมีความเอียง เครื่องจะค่อยๆ ไหลแบบไม่รู้ตัว (เกือบหล่นหลายทีมาก ทั้งจากโซฟา, อ่างล้างหน้า หรือแม้แต่กระเป๋ากางกาง) ทางแก้ก็ง่ายๆ แค่ใส่เคสที่แถมมานั่นแหละ
ใส่เคสซะ ถ้าไม่อยากให้เครื่องลื่นไถลไปไหนต่อไหนแบบไม่รู้ตัว
อีกอย่างคือเรื่องน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ถ้าคนไม่เคยใช้มือถือจอใหญ่ๆ มาก่อน จะรู้สึกทันทีว่ามันหนักกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ซึ่งก็มาจากแบตเตอรี่ที่ให้มาแบบมโหระทึกถึง 6000 mAh นั่นเอง ใครที่พกมือถือรุ่นนี้ในกระเป๋ากางเกง เวลาวิ่งหรือเดินเร็วๆ จะรู้สึกได้เลยว่ามันแกว่งตีขาพลั่กๆ ตลอด
หน้าจอของ ROG Phone 3 ถูกอัปเกรดขึ้นมาให้รองรับรีเฟรชเรทได้สูงสุดถึง 144Hz ถ้าหากเอาไปเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆ ที่มีจอรีเฟรชเรท 60-90Hz จะเห็นความแตกต่างแบบสุดๆ เพราะจอ 144Hz จะเนียนตามากๆ เวลาไถหน้าจอเร็วๆ ตอนเล่นเน็ต หรือเล่นเกมที่รองรับหน้าจอรีเฟรชเรทสูง และแน่นอนว่าถ้าเปิดไว้ที่ 144Hz ตลอดเวลา มันก็จะกินแบตมากกว่าเดิม
หรือจะเปิดโหมด Auto เอาไว้ เพื่อให้เครื่องคอยสลับค่ารีเฟรชเรทอัตโนมัติเมื่อใช้งานแอปต่างๆ ทำให้ช่วยประหยัดแบตขึ้นได้อีก หากเราเข้าแอปที่ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ารีเฟรชเรทสูงๆ
หน้าจอของ ROG Phone 3 ยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้สามารถดูคอนเทนต์ในรูปแบบดังกล่าวได้ทั้งจาก YouTube และ Netflix
แน่นอนว่าแค่ชิป Snapdragon 865+ ก็ต้องแรงสุดๆ จนเล่นเกมในปัจจุบันได้ทุกเกมแบบไม่มีอาการกระตุก หรือเฟรมเรทร่วงให้หงุดหงิดหัวใจ รวมถึงการทำงานอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ด้วย RAM ที่ให้มาเหลือๆ ถึง 12GB จะสลับแอปไปมาก็เร็วปรู๊ดปร๊าด นอกจากนี้ยังมี X Mode ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องให้สูงขึ้นไปได้อีก โดยการทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป 3DMark และ Geekbench ออกมาได้ตามนี้
ทดสอบด้วย 3DMark ปิด X Mode (ซ้าย) / เปิด X Mode (ขวา)
คะแนนเฉลี่ยแรงเป็นอันดับ 1 ของแอป 3DMark
ทดสอบด้วย Geekbench ปิด X Mode (ซ้าย) / เปิด X Mode (ขวา)
ส่วนหน่วยความจำที่ใช้เป็นแบบ UFS 3.1 ก็แน่นอนว่าเร็วปรู๊ดปร๊าดแบบไม่ผิดหวัง จะเขียนข้อมูล จะอ่านข้อมูล ย้ายไฟล์ ฯลฯ ก็เร็วรวดพรวดพราด ทดสอบด้วยแอป Androbench ได้ผลออกมาตามนี้
ส่วนการเล่นเกมต่างๆ ที่มีกราฟิก 3D โหดๆ ทั้งพวก PUBG, Call of Duty, ROV, LOL Wild Rift หรือจะเป็นเกมกินสเปคอย่าง Genshin Impact แน่นอนว่าปรับไปจนถึงขั้นสุดได้สบายแฮ รวมไปถึงตอนเล่นเกมก็ลื่นปรื๊ดดด ไม่มีกระตุกเลยล่ะ หรือใครจะเปิด X Mode ช่วยอีกแรงก็ได้ (จริงๆ จะเปิดหรือไม่เปิดก็ลื่นเหมือนกันอะนะ)
LOL Wild Rift ปรับได้สุดทุกอย่าง จะนัวกันทั้งทีม จะปล่อย Ulti พร้อมกันเฟรมเรทก็อยู่ที่ 59-60fps ตลอด
PUBG ปรับสุดทุกอย่างก็เล่นได้ลื่นปรื๊ด
เกมกราฟิกงามๆ Kenshin Impact ก็ปรับสุดได้แบบไม่มีปัญหา
ฟีเจอร์ต่างๆ สำหรับการเล่นเกมของ ROG Phone 3 ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าปุ่ม, ปรับรีเฟรชเรท, การล็อคความสว่างจอ, การล้าง RAM, การอัดหน้าจอ, ดู FPS, ดูอุณหภูมิเครื่อง ฯลฯ สามารถเข้าได้โดยการปัดหน้าจอทางซ้ายออกมา เมื่อตอนที่เราอยู่ในเกม
แถบตั้งค่าฟีเจอร์เกมต่างๆ
เป็นมือถือเกมมิ่งทั้งที จะแต่สเปคแรงเฉยๆ มันก็จะธรรมดาเกินไปหน่อย มือถือรุ่นนี้ก็เลยใส่ฟีเจอร์สำหรับเล่นเกมล้ำๆ มาให้ด้วย โดยตรงบริเวณขอบเครื่องซ้าย-ขวา ด้านบน จะมีปุ่มที่ทำงานคล้ายกับ Shoulder Button ของคอนโทรลเลอร์เกม ซึ่งเราตั้งค่าได้ว่าจะให้การกดปุ่มนั้น กลายเป็นการกดหน้าจอตรงไหน ก็จะคล้ายๆ กับที่มีใน ROG Phone 2 นั่นแหละ (การตั้งค่าปุ่มให้กดเลือกที่ AirTriggers)
จะตั้งให้เป็นปุ่มกดเดี่ยวๆ ก็ได้
แต่คราวนี้มันล้ำกว่าเดิมเพราะเราสามารถแยกปุ่ม Shoulder ดังกล่าว ให้กลายเป็น 4 ปุ่ม (Dual partition buttons) ด้วยการแยกตำแหน่งแตะ อย่างเช่นปุ่มด้านขวา เมื่อแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แตะบริเวณค่อนมาทางขวาจะเป็นการยิง แตะบริเวณค่อนมาทางซ้ายจะเป็นการบรรจุกระสุน หรือปุ่ม Shoulder ด้านซ้าย ถ้าแตะบริเวณค่อนมาทางซ้ายจะเป็นการเล็ง แตะบริเวณค่อนทางขวาจะเป็นก้ม
จะตั้งแยกให้กลายเป็น 4 ปุ่ม ก็สุดยอด (Dual partition buttons)
ถ้าการตั้งค่าปุ่มต่างๆ ยังไม่พอ เรายังสามารถตั้งให้การเขย่าเครื่อง (Motion control) กลายเป็นการกดบนหน้าจอบริเวณไหนก็ได้ ยกตัวอย่างเกม PUBG เลือกให้การเขย่าเครื่อง เท่ากับการกดปุ่มหมอบ เมื่อเราเล่นเกมอยู่แล้วต้องการนอนซุ่มอยู่ในพงหญ้า ก็แค่เขย่าเครื่องเท่านั้น ตัวละครก็จะหมอบลงทันที พอจะยืนก็เขย่าเครื่องอีกครั้ง
เกมประเภท FPS หรือ TPS เมื่อเข้าสู่โหมดซูมหรือเล็งด้วยศูนย์ปืน เป้าเล็ง (Crosshair) บนหน้าจอจะหายไป แต่เราสามารถเปิดเองได้จากตัวเครื่องโดยตรงด้วยการปัดแถบ Game Genie ด้านซ้ายแล้วเลือกที่ Crosshair เพื่อเปิดศูนย์เล็งแบบถาวรบนหน้าจอ
เปิดศูนย์เล็งเองได้ จะปรับขนาด ปรับสี ชอบแบบไหนก็เลือกเอาเลย
ในแถบ Game Genie มีตัวเลือก Bypass charging สุดล้ำให้ใช้กันอีกด้วย ฟีเจอร์นี้จะเปิดได้ก็ตอนที่เราเสียบสายชาร์จไว้ ซึ่งความสามารถของมันก็คือจะส่งไฟจากสายชาร์จไปที่เครื่องโดยตรงแบบไม่ผ่านแบตเตอรี่ก่อน ทำให้ตัวเครื่องไม่เกิดความร้อนจากการชาร์จไฟและการเล่นเกมไปพร้อมๆ กัน แถมยังช่วยถนอมแบตเตอรี่ไปอีกด้วย เรียกว่าเด็ดสุดจริงๆ สำหรับฟีเจอร์นี้
ROG Phone 3 ได้รับการอัปเกรดกล้องหลังเข้าเป็น 3 ตัว (จากรุ่นก่อนที่มีแค่ 2) โดยเพิ่มกล้อง Macro เข้ามาให้สำหรับการถ่ายวัตถุในระยะใกล้มากๆ ส่วนกล้องหลักก็เพิ่มความละเอียดเป็น 64MP ทำให้การถ่ายภาพและการถ่ายวิดีโอโดยรวมของมือถือรุ่นนี้ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร จะมีข้อตินิดหน่อยสำหรับการถ่ายมุม Ultra Wide จะสังเกตได้ชัดเจนว่าขอบภาพเบี้ยว และทำให้สัดส่วนเพี้ยนไปเลย
03/11/2020 05:45 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย