วนมาครบกันอีกปีแล้วกับมือถือเรือธงของค่อย OPPO อย่างซีรีส์ Find ซึ่งคราวนี้ OPPO Find X3 Pro ก็ได้เริ่มตำนานฉบับใหม่ กับการสร้างสรรค์มือถือเรือธงที่มีจุดเด่นในแบบของตัวเอง ด้วยสเปคเรือธงระดับแถวหน้าของค่าย งานประกอบที่หรูหรา และระบบกล้องที่ได้รับการดีไซน์มาอย่างดี แล้วประสบการณ์ใช้งานจริง ล่ะจะสมกับชื่อเรือธงพรีเมียมได้หรือไม่ ? วันนี้ Droidsans จะมารีวิว OPPO Find X3 Pro กันครับ
จากประสบการณ์ที่ได้จับมือถือเรือธงมาหลาย ๆ รุ่น การจะรีวิวมือถือเรือธงซักเครื่องนึงต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรถ้าเราไม่สามารถหา identity ที่แท้จริงของมือถือเครื่องนั้น ๆ ได้ เวลาที่แบรนด์มือถือใส่ทรัพยากรทุกอย่างเข้าไปในมือถือเครื่องหนึ่ง ผลลัพท์ที่ออกมาก็จะได้เป็นแค่มือถือแรง ๆ เครื่องหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่ OPPO พยายามทำอยู่ตอนนี้คือการฉีกตัวเองออกจากตลาด แล้วสร้างสรรค์มือถือเรือธงที่ให้ประสบการณ์ที่ต่างออกไป
มาเริ่มกันที่ของในกล่องกันก่อนเลย ซึ่งมือถือสมาร์ทโฟนเรือธงสมัยนี้เริ่มมีเทรนด์ไม่แถมหัวชาร์จกันมาบ้างแล้ว แต่ OPPO ไม่ผันตัวตามตลาดง่าย ๆ มีแถมหัวชาร์จ SuperVOOC 65W และสายชาร์จ USB-A to C มาให้ในกล่องสามารถหยิบใช้งานได้เลย ตัวกล่องมาเป็นสีเทาขนาดกำลังดีดูพรีเมียมมาก ๆ แถมยังมีหูฟัง USB-C และเคสแบบ Soft-touch สีดำมาให้ด้วย
สิ่งแรกที่เห็นกันได้ง่าย ๆ เลยคือเรื่องดีไซน์ และการจับถือ OPPO Find X3 Pro ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมทันทีจะแต่แรกที่เริ่มจับถือ ด้วยดีไซน์โดยรวมที่เน้นความโค้งมนเป็นหลักตั้งแตขอบเครื่องไม่จนถึงโมดูลกล้อง เป็นมือถือที่หาขอบคม ๆ ยากมาก ให้ความรู้สึกที่นุ่ม ๆ สบายมือเวลาจับถือ ส่วนที่จับแล้วคมจะมีแค่ตรงปุ่มเพิ่มลดเสียงที่อยู่ด้านซ้ายเท่านั้น (จับ ๆ แล้วแอบลื่นพอสมควร )
มาเริ่มกับฝาหลังที่เป็นจุดเด่นกันก่อนเลยดีกว่า โดย OPPO Find X3 จะมี 2 สีได้แก่ดำ และน้ำเงิน ซึ่ง 2 สีที่วางขายจะสัมผัสฝาหลังที่แตกต่างกัน สีดำใช้เป็นกระจกแวววาว ส่วนสีน้ำเงินใช้เป็นวัสดุ Frosted ขุ่น ๆ ให้ง่ายต่อการจับถือ และทั้ง 2 สีก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ความชอบครับ
ทาง OPPO ได้ย้ำเน้นเรื่องกระบวนการผลิตอันสุดจะซับซ้อนของดีไซน์ฝาหลัง ที่ผ่านกระบวนการหลากหลายขั้นตอนเพื่อจะให้เป็นอย่างที่เห็น ซึ่งก็ต้องยอมจริง ๆ เพราะมันสวยมากโดยเฉพาะบริเวณโมดูลกล้องที่ใช้ชื่อ Gradient Arc Camera นูนขึ้นเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลังแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ช่วยให้การจับถือรู้สึกสมูธตลอดตั้งแต่ล่างจรดบน ตบท้ายด้วยโลโก้ OPPO แวว ๆ ด้านล่าง
OPPO ให้ข้อมูลว่าฝาหลังได้ผ่านความร้อนกว่า 700 องศากว่าจะสามารถดัดให้โค้งมนไร้รอยต่อแบบที่เห็นได้ ผนวกด้วย Control Points ทั่วฝาหลังกว่า 2000 จุดเพื่อให้ได้รูปทรงที่แม่นยำสมูธ และพรีเมียมสมกับชื่อเรือธงของค่าย และก็บอกได้เลยว่าเป็นมือถือที่ดีไซน์ฝาหลังยากจะหาใครมาเทียบได้จริง ๆ ครับ
โมดูลกล้องดีไซน์แบบนี้ถึงแม้ว่ามันจะดูสวยงามไร้รอยต่อก็จริง แต่เวลาวางมือถือราบกับโต๊ะ ตัวกล้องจะสัมผัสกับโต๊ะโดยตรงดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เห็นแบบนี้เอาเคสมาใส่น่าจะปลอดภัยมากกว่า
มองลงมาด้านล่างเราจะเจอกับช่องชาร์จ USB-C ถาดใส่ซิมด้านข้าง และลำโพงที่ทำงานคู่กับลำโพงสนทนาด้านบนเป็นระบบ Stereo เสียงดังใช้ได้ แต่มีข้อสังเกตที่ลำโพงด้านล่างมีเสียงดังกว่าด้านบนเล็กน้อย ส่วนปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงก็จะถูกวางอยู่ด้านซ้าย ตรงกันข้ามกับปุ่ม Power
ตั้งแต่จับถือครั้งแรกก็ว้าวเลยทีเดียวกับหน้าแสดงผล AMOLED แบบโค้ง ขนาด 6.7 นิ้ว มีกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่มุมบนขวา ความละเอียด QHD+ อัตรารีเฟรช 120Hz แบบไดนามิก ที่จะเปลี่ยนโดยอัตโนมัติตามคอนเท้นต์ที่ดูอยู่ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น มาพร้อมกับมาตรฐาน HDR10+ อีกด้วย
หน้าจอของ OPPO Find X3 Pro ยังรองรับค่าสี 10-bit เป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้งานกันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ สามารถบันทึกภาพนิ่ง, วิดีโอ, เก็บไฟล์ 10Bit และแสดงผล 10Bit บนหน้าจอได้ มีค่าขอบเขตสีกว้างถึง 1.07 พันล้านสี เลยทีเดียว ไม่ว่าจะดูคอนเทนต์ HDR หรือดูภาพที่ถ่ายมาเองก็มีเฉดสีที่สวยสดเหมือนเห็นด้วยตาจริง ๆ เลยแหละครับ
อัตรารีเฟรชเรท 120Hz ผนวกกับความละเอียดสูงถึง QHD+ ช่วยให้ประสบการณ์ในการใช้งานดีเยี่ยมมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป จนถึงการเสพย์สื่อ และเล่นเกมก็ได้อรรถรสแบบเต็มที่มาก ๆ แถมยังมีความสว่างสูงสุดถึง 1300nit สามารถใช้งานกลางแจ้งได้ไม่มีปัญหาเลย
สำหรับมือถือเรือธงระดับนี้ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ OPPO Find X3 Pro จะมาพร้อมกับชิปเซ็ตเรือธงตัวแรงประจำปี 2021 อย่าง Snapdragon 888, RAM LPDDR5 ขนาด 12GB และหน่วยความจำ UFS 3.1 ขนาด 256GB ถือว่าให้มาครบครันแบบเต็มที่ใช้งานทั่วไปสบาย ๆ หรือถ้าเป็นสาย Powerhouse เล่นเกมกราฟิกเดือด ๆ ก็ยังสบาย ๆ เลยครับ
Snapdragon888 ทำงานบน OPPO Find X3 Pro ได้อย่างลื่นไหล ซึ่งจากประสบการณ์ใช้งานไม่เคยเจอปัญหาค้างหรือกระตุกให้ได้เห็นเลย การใช้งานทั่วไปลื่นไหลมาก เปิด ปิด หรือสลับแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุดเลยครับ
ส่วนในเรื่องของการเล่นเกมก็ได้มีการทดสอบด้วยสุดยอดเกม Benchmark ภาพสวยอลังการอย่าง Genshin Impact ก็สามารถปรับภาพความละเอียดสูง การตั้งค่ากราฟิกสูงสุด และโหมด 60FPS ก็สามารถเล่นได้นิ่ง ๆ ตลอดเวลาเลยครับ แต่มีข้อสังเกตอยู่ที่แบตเตอรี่ไหลมาก ๆ (มันเป็นเกมที่กินแบตอยู่พอตัวอยู่แล้ว) กับเครื่องที่เริ่มมีความร้อนสะสมบริเวรโมดูลกล้องหลังจากใช้งานได้ราว ๆ 30 นาที
สำหรับเกมที่กินสเปคน้อยลงมาหน่อยอย่าง League of Legends: Wild Rift ก็สามารถเล่นได้ 60FPS ประภาพสุดอลังได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นช่วงฟาม หรือช่วงไฟท์ใหญ่ ๆ ก็ไม่มีการอาการกระตุกหรือเฟรมตกให้เห็นเลย การสัมผัสลื่นไหลตอบสนองได้ไวด้วย Touch Sampling 240Hz ทัชติดมือไม่มีเพี้ยนแน่นอน ซึ่งสำหรับเกมอื่น ๆ อย่าง ROV หรือ PUBG ก็สามารถรันได้ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ในการเล่นเกมที่น่าพูดถึงของ ColorOS ก็จะเป็น Quick Return Bubble เมื่อผู้ใช้งานเล่นเกมอยู่แล้วออกเกม จะมีเป็นลูกแก้วลอย คอยบอกสถานะต่าง ๆ ในเกม เช่น PUBG เมื่อผู้เล่นเข้าไปในเกมอยู่ในช่วงรอกระโดดร่ม 1 นาทีครึ่ง ตัว Bubble ก็จะมีนาฬิกานับถอยหลังให้ หรือถ้าเป็น ROV เวลาผู้เล่นตายเมื่อออกมาก็จะมีการรับถอยหลังเวลาเกิดให้ ไม่พลาดจังหวะสำคัญ ๆ แน่นอน
ถัดมาในเรื่องของประสบการณ์ใช้งาน และอินเทอร์เฟซต่าง ๆ OPPO Find X3 Pro ก็มาพร้อมกับ Color OS 11.2 บนพื้นฐาน Android 11 ซึ่งหน้าตาโดยรวมก็จะเอนไปทางรูปทรงสีเหลี่ยมมากกว่าเห็นได้ชัดจาก Icon ของแถบแจ้งเตือนที่เป็นสีเหลี่ยมขอบมน ๆ มีความสวยงามไปอีกแบบต่างจากระบบปฎิบัติการณ์อื่น ๆ อย่าง MIUI หรือ OneUI
คนที่ใช้งาน ColorOS เป็นประจำอยู่แล้วก็น่าจะคุ้นเคยกับหน้าตาแบบนี้ดี แต่สำหรับผมส่วนตัวยังไม่ค่อยชอบดีไซน์รูปทรงสี่เหลี่ยมแบบนี้เท่าไหร่ครับ
สำหรับหน้า Home ตามแบบฉบับของ ColorOS ก็จะเป็นแบบไม่มี App Drawer อยู่แล้ว ซึ่งผู้ใช้งานคนไหนที่ถนัดแบบ App Drawer มากกว่าก็สามารถเข้าไปเปลี่ยนที่หน้า Settings ได้ โดยจากที่ใช้ ๆ มาก็ถือว่าเป็นหน้า Home ที่ลื่นไหล คลีน ๆ ใช้งานสะดวก ลากไปทางซ้ายสุดก็จะสามารถเปิดหน้า Google Discovery ขึ้นมาได้
ColorOS ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Gesture ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์แคปหน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้ว และฟังก์ชัน Screen-off gesture ที่สามารถให้ผู้ใช้งานลาก Gesture เป็นรูปตัว V หรือ O เพื่อเรียกใช้กล้อง หรือไฟฉายได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ถูกใจที่สุดก็น่าจะเป็น Live Wallpaper ที่ทาง OPPO เลือกสรรค์มาเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นภาพที่เปลี่ยนตามเวลา ภาพที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนหน้าจอ อนิเมชั่นที่เล่นตามจุดที่สัมผัส หรือจะเป็นแบบที่เล่นกับ Gyroscope ก็มีนะครบและสวยงามมาก ๆ
ถือว่าเป็นการใช้หน้าจอสเปคสุดเทพตัวนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จริง ๆ แล้วใจก็รู้นะว่ามันเปลืองแบตเตอรี่แต่มันสวยจนต้องยอม ใช้แล้วรู้สึกเลยว่าหน้าจอ OPPO Find X3 สีสวยสดเป็นธรรมชาติมาก ๆ ยิ่งถ้าจัดหน้า Home ให้โล่งจะยิ่งสวยเข้าไปใหญ่เลยครับ
มาถึงจุดที่เป็นไฮไลท์หลักของ OPPO Find X3 Pro เลยอย่างเรื่องกล้องที่ให้มาด้วยกันถึง 4 ตัวได้แก่
ความเจ๋งของกล้องชุดนี้อยู่ที่การใช้เซนเซอร์ IMX766 ที่เป็นเซนเซอร์หลักให้กับกล้อง 2 ตัวได้แก่กล้องหลัก 50MP และกล้อง Ultra-wide 50MP ซึ่งเป็นเซนเซอร์ขนาดใหญ่ถึง 1/1.56 นิ้ว รับแสงได้มาก ความละเอียดสูงแม้จะถ่ายในที่แสงน้อย แถมภาพที่ได้จากทั้ง 2 เลนส์ก็มีคาแรคเตอร์ที่เหมือนกันมาก ๆ
กล้องหลักมีฟีเจอร์ในการถ่ายภาพแบบ บันทึกภาพแบบ RawPlus 10-bit ช่วยให้ขอบเขตสีที่กว้างสามารถเอาไปแต่งได้อย่างอิสระ แถมยังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K แบบ 10-bit ได้ทั้งฟอร์แมต LOG และ HDR ในสเปกตรัมสี BT.2020 อีกด้วย
ในเรื่องผลลัพท์รูปที่ออกมาได้ก็ไม่ต้องพูดอะไรมากเลยกับสเปคกล้องระดับนี้ ภาพถ่ายมีรายละเอียดคมชัด Dynamic Range ดีแม้กระทั่งสภาพย้อนแสง ไฮไลท์ และเงาไม่เสียรายละเอียด สไตล์สีภาพออกไปทางคอนทราสต์ที่สูงหน่อยทำให้สีออกสดหน่อย ๆ แต่ถ้าชอบภาพแนวนี้ก็เยี่ยมเลยครับ
26/04/2021 03:17 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย