รีวิวมือถือมากันก็เยอะแล้ว ตอนนี้ถึงคิวของพวกอุปกรณ์ IoT อย่าง Fitness Band ของ Samsung ที่มีชื่อว่า Galaxy Fit 2 กันบ้าง โดยครั้งนี้ถือเป็นรุ่นที่สองแล้ว มีการอัปเกรดฟีเจอร์ขึ้นให้มีความเทพกว่าเดิม ว่าแต่เอาไปใช้งานจริงๆ จะเป็นยังไงบ้าง ใส่ออกกำลังกายได้ไหม แจ้งเตือนขึ้นหรือเปล่า คุ้มค่ากับเงิน 1,590 บาทที่เสียไปมั้ย เดี๋ยวผมมาลองให้ดูครับ
ครั้งแรกที่ได้ลองถือเจ้า Galaxy Fit 2 ต้องบอกว่ามันมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบามากๆ เวลาใส่บนข้อมือแล้วแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังใส่อะไรอยู่ พูดง่ายๆ คือมันใส่สบายมาก สามารถใส่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดวัน รวมไปถึงใส่นอนยังได้เลย เพราะมันไม่รู้สึกรำคาญจริงๆ
โดย Galaxy Fit 2 นั้น ตัวเรือนทำมาจากพลาสติก ขณะที่สายจะเป็นแบบซิลิโคน บริเวณสายรัดจะออกแบบมาให้มีความเว้า เพื่อให้ระบายเหงื่อ และสวมใส่สบาย น้ำหนักของตัวเรือนจะอยู่เพียงแค่ 24 กรัมเท่านั้น ซึ่งมันเบาแบบเบาจริงๆ
หน้าจอเป็นแบบ OLED ขนาด 1.1 นิ้ว ตัวจอจะเป็นแบบโค้งๆ 3 มิติ มีขนาดของจอแสดงผลที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป สามารถใช้ดูเวลา หรือข้อมูลต่างๆ ได้แบบไม่ต้องเพ่ง หรือยกขึ้นมาดูใกล้ๆ
ตามหน้าสเปคแล้ว เจ้า Galaxy Fit 2 สามารถดันความสว่างได้สูงสุดถึง 450 nits ซึ่งพอเอาไปใช้งานจริงๆ พบว่าการใช้งานกลางแจ้งก็ชัดเจนมองเห็นได้สบายๆ อันนี้ตั้งค่าแบบปรับแสงจออัตโนมัตินะ
รวมไปถึงสามารถปรับความสว่างหน้าจอได้มากถึง 10 ระดับ สำหรับใครที่ใส่นอน ตรงนี้สามารถปรับให้หน้าจอมีความสว่างได้ต่ำสุดที่ระดับ 1 หรือจะเลือกใช้เป็นโหมด Do Not Disturb เพื่อปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง และยังมีโหมด Good Night สำหรับไม่ให้ตัวสายรัดแจ้งเตือน หรือเด้งจอให้รำคาญตาก็ได้
แน่นอนว่าการรับแจ้งเตือนต่างๆ จากมือถือ เจ้า Galaxy Fit 2 ก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยมันสามารถแสดงผลเป็นภาษาอังกฤษและไทยได้ รวมไปถึงสามารถกด Quick Reply ตอบข้อความกลับเป็นสติกเกอร์ หรือข้อความสำเร็จรูปสั้นๆ ได้อีกด้วย
ในกรณีที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน Samsung ผู้ใช้งาน Galaxy Fit 2 จำเป็นที่จะต้องไปหาแอป Galaxy Wearable มาติดตั้งซะก่อนนะครับ ซึ่งหลังจากดาวน์โหลดมาแล้ว ก็ทำการเชื่อมต่อมันเข้ากับมือถือของตัวเองซะ ส่วนตัวผมใช้ Galaxy Fit 2 กับ OnePlus 8 Pro ก็พบว่าใช้งานได้ราบลื่นดี ไม่ได้เจอกับปัญหาใดๆ
Galaxy Wearable (Samsung Gear) (Free, Google Play) →
Galaxy Fit 2 มาพร้อมกับโหมดการออกกำลังกายที่มากถึง 90 รูปแบบ และระบบตรวจจับอัตโตมัติ 5 แบบ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เราไม่ต้องไม่เซ็ตโปรแกรมอะไรกับ Galaxy Fit 2 เลย ถ้าหากกิจกรรมที่เรากำลังจะทำนั้น มันรองรับการตรวจจับอัตโนมัติของเจ้าสายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นนี้ มันก็จะ Track ข้อมูลต่างๆ ให้แบบทันทีเลย เบิร์นไปกี่แคล เดิน/วิ่งไปกี่ก้าว ใช้เวลาทั้งหมดกี่นาที ฯลฯ
ซึ่งสถิติต่างๆ จะไปอยู่ที่หัวข้อ Samsung Health (ในแอป Galaxy Wearable บนมือถือ) ว่าวันนี้เราเดินไปทั้งหมดกี่ก้าว กี่กิโลเมตร และเผาแคลไปเท่าไหร่ อันนี้ดีมาก เพราะเราสามารถดูย้อนหลังได้เป็นเดือนๆ เลยล่ะ ใครที่ชอบอะไรเกี่ยวกับตัวเลข อันนี้แฮปปี้แน่นอน
อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Hand Wash ด้วย เซ็ตได้ว่าจะให้แจ้งเตือนทุกๆ กี่นาที สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ที่ต้องรักษาความสะอาดนิดนึง
Galaxy Fit 2 มากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP68 และยังกันน้ำแบบ 5ATM หรือลึก 50 เมตร ทำให้ใส่ว่ายน้ำได้ และยังผ่านมาตรฐานความทนทาน MIL-STD 810G อีกด้วย บอกได้เลยว่า Galaxy Fit 2 แทบจะเอาไปใช้งานได้ทุกสถานการณ์จริงๆ ส่วนตัวเป็นคนที่ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ บางทีใส่ว่ายน้ำ อาบน้ำ รวมไปถึงเตะบอล (แน่นอนว่าต้องมีการปะทะ มีล้มบ้างอะไรบ้าง) ก็พบว่า Galaxy Fit 2 ยังไม่งอแง ใช้งานได้ปกติ ตอนนี้ใช้มาเป็นเดือนแล้ว ทุกอย่างยังทำงานเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันแรก
ดังนั้นใครที่กังวลว่าเจ้า Galaxy Fit 2 จะทนมือทนเท้ามั้ย หายห่วงครับ สามผ่านเลยล่ะ
แม้ว่าค่าตัวของ Galaxy Fit 2 จะอยู่ที่ 1,590 บาท แต่ Heart Rate Sensor ที่ใส่มา อันนี้บอกเลยว่าประทับใจมากๆ เพราะมันสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบตลอดเวลาทั้งวัน 24 ชั่วโมงเลย
นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งค่าให้มันแจ้งเตือนเราได้อีกว่าหากหัวใจเราเต้นเร็วผิดปกติเกินไปเป็นระยะเวลากี่นาทีๆ ติดต่อกัน
อีกหนึ่งไฮไลท์หลักๆ ของ Galaxy Fit 2 ก็คือฟีเจอร์ Sleep Tracking นั่นเอง อันนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ใส่นอนเอาไว้เฉยๆ ตัวนาฬิกาจะจับเองอัตโนมัติทันทีที่เราเข้าสู่ช่วงเวลาการนอน ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลเหล่านี้ได้ที่ Samsung Health นั่นเอง บอกหมดเลยว่านอนไปกี่ชั่วโมง คุณภาพในการนอนเป็นยังไงบ้าง
Galaxy Fit 2 ยังมากับฟีเจอร์วัดความเครียด ซึ่งถ้าความเครียดของเราเกินระดับปกติเมื่อไหร่ ตัวนาฬิกาก็จะแนะนำให้เราหายใจเข้าหายใจออกเป็นจังหวะ เพื่อทำการสงบสติอารมณ์ ส่วนตัวลองใช้ดู พบว่ามันค่อนข้างจะตรงอยู่พอตัวเลยนะ เวลาทำงานเครียดๆ คิดอะไรไม่ออก ค่าความเครียดนี่ขึ้นสูงเลยล่ะ ฮ่าๆ
ต้องบอกว่าเจ้า Galaxy Fit 2 นั้น สามารถเปลี่ยนหน้าตาหน้าปัดได้แบบจุใจ เรียกว่าแทบจะเปลี่ยนได้วันละแบบเลยจริงๆ ตามลักษณะการใช้งานว่าใครถนัดแบบไหน ฟังก์ชั่นการใช้งานของตัวเองเป็นยังไง
Galaxy Fit 2 มากับแบตเตอรี่ขนาด 159 มิลลิแอมป์ ซึ่งตรงนี้ Samsung เคลมว่าสามารถใช้งานได้ทั้งหมด 21 วันต่อการชาร์จเต็ม 100% โดยจากที่ลองใช้มา อันนี้ต้องบอกว่าแบตอึดจริง บางทีมีชาร์จแล้วลืมอะ ใช้มาเป็นเดือนแล้ว เพิ่งจะชาร์จไปแค่ 1 – 2 ครั้งเอง
อ้อ ช่วงรีวิวอันนี้เจอกับปัญหาจังๆ ก็คือ ส่วนตัวเป็นคนขี้ลืม มักจะจำไม่ได้ว่าเอาเจ้า Galaxy Fit 2 ไปวางที่ไหนไม่รู้ แต่โชคดีที่จำได้ว่าแอป Galaxy Wearable นั้นมีฟีเจอร์ Find My Band ด้วย บวกกับความอึดแบตเตอรี่ของ Galaxy Fit 2 ทำให้พอกดหาปุ๊บ ก็หาเจอเลย สรุปแล้วอยู่ใต้เตียง ฮ่าๆ
บอกได้เลยว่าส่วนนี้เป็นจุดเด่นมากๆ เพราะต่อให้มี Find My Band แต่ถ้าแบตไม่อึด แบตหมดก่อน ฟีเจอร์นี้ก็จะแทบไม่มีประโยชน์ไปเลยทันที
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมขอสรุปสั้นๆ เลยแล้วกันว่า Galaxy Fit 2 นั้น แทบจะครอบคลุมการใช้งานในชีวิตประจำวันของ Average User ทั่วไป ส่วนตัวใช้ Galaxy Watch Active 2 เป็นเครื่องหลัก พอย้ายมาใช้ Galaxy Fit 2 ก็ไม่เจอปัญหาความลำบาก จออาจจะเล็กไปนิด แต่ในราคา 1,590 บาท บวกกับความเป็นอินเตอร์แบรนด์และบริการหลังการขายของ Samsung ผมว่าคุ้ม
04/12/2020 06:09 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย