Qualcomm ส่งออกชิปมือถือไม่ทัน ด้าน Xiaomi ชี้ ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ของขาดตลาด แต่เป็น “วิกฤต” - Android

หลังจากมีข่าวลือออกมาหนาหูว่าตลาดชิปเซ็ตมือถืออาจเจอกับปัญหาของขาดตลาด พร้อมกับบอกกลายๆ ว่าเราอาจจะต้องเจอแบบนี้ไปอีกยาวๆ จนถึงสิ้นปีนี้ ล่าสุดวงในจากสื่อนอกก็ออกมาให้ข่าวว่า ตอนนี้ Qualcomm เจอกับปัญหานี้จังๆ แล้ว ส่งออกชิปเซ็ตมือถือให้กับลูกค้าไม่ทัน

ลุ้นกันอยู่นานว่าปัญหาชิปเซ็ตและหน่วยประมวลผลขาดตลาด จะส่งผลกระทบถึงวงการสมาร์ทโฟนของเราหรือเปล่า หลังจากปัญหาดังกล่าวนี้ไปชนกับวงการรถยนต์แบบจังๆ ล่าสุดแหล่งข่าวของ Reuters ก็ออกมายืนยันแล้วว่า Qualcomm ส่งชิปเซ็ต Snapdragon ไปให้ Samsung  ผลิตไม่ทัน เนื่องจากชิ้นส่วนบางอย่างขาดตลาดไปนั่นเอง

สำหรับสาเหตุที่ทำไมอยู่ดีๆ Qualcomm ถึงเจอกับปัญหานี้ ก็เพราะว่าค่ายมือถือ Android ได้สั่งให้พวกเขาผลิตชิปเซ็ตมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะต้องการจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของ HUAWEI นั่นเอง เพราะการที่ HUAWEI โดนรัฐบาลสหรัฐฯ แบน ห้ามเข้าถึงแอปและบริการต่างๆ ของ Google ส่งผลให้ลูกค้าหลายกลุ่ม ส่ายหัว เพราะ GMS ยังถือเป็นบริการที่สำคัญมากๆ ต่อการใช้ชีวิตอยู่

นอกจากนี้ Samsung เอง ก็ยังจะได้แรงกระแทกจากปัญหาชิปเซ็ต Qualcomm ขาดตลาดอีกด้วย เนื่องจากสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy A และ M บางรุ่น ยังพึ่งพาชิป Snapdragon ของบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อยู่ อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวไม่ได้ให้ข้อมูลว่า มือถือซีรีส์เรือธงอย่าง Galaxy S21 Series รุ่นที่ใช้ Snapdragon 888 จะได้รับผลกระทบหรือเปล่า

มือถือ Android บางค่ายอาจเปิดตัวน้อยลงในปีนี้

ปัญหานี้เอง อาจทำให้ผู้ผลิต Android ท็อปๆ บางค่าย อาจจะต้องตัดสินใจเลือกเปิดตัวมือถือน้อยลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับปีก่อน ทว่าในส่วนนี้ทาง Qualcomm ก็ออกมารับประกันว่า พวกเขาจะสามารถส่งออกชิปเซ็ตได้ในจำนวนที่ตั้งเป้าเอาไว้ในตอนแรก แม้ตอนนี้จะเจอกับปัญหาขาดตลาดก็ตาม

Xiaomi เผย นี้ไม่ใช่ “ปัญหา” แต่เป็น “วิกฤต”

Lu Weibing รองประธานของบริษัท Xiaomi ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาชิปขาดตลาดของ Qualcomm ในครั้งนี้ผ่านเว็บไซต์ Weibo ว่า ปัญหาชิปขาดตลาดนี้ มันกลายเป็น “วิกฤต” ไปแล้ว

วิกฤตชิปขาดตลาดในครั้งนี้ อาจทำให้ราคามือถือแพงกว่าเดิม

ปัญหาชิปขาดตลาดนี้ ทำให้ราคาต้นทุนต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นตามด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งชิ้นส่วน Microchips ที่แต่ก่อนราคาแค่ $2 ต่อชิ้น ตอนนี้พุ่งขึ้นมาที่ $14 แล้ว…เรียกว่าแพงกว่ากันหลายเท่าเลย

อ่านเพิ่มเติม: Reuters