มือถือจอพับสุดล้ำ Galaxy Z Fold 2 5G เปิดตัวไปรอบนึงแล้วในงาน Galaxy Unpacked 2020 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2020 โดยในงานดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยฟีเจอร์ และสเปคแบบละเอียดของมือถือรุ่นนี้ออกมาเท่าไหร่นัก จะเห็นก็แค่การออกแบบตัวเครื่องแบบใหม่ที่ขยายขนาดหน้าจอด้านนอกออกจนเกือบเต็มพื้นที่, กล้องหลัง 3 ตัว, กระจกจอพับแบบใหม่ แต่สำหรับงานเปิดตัวภาค 2 คราวนี้ ได้มีการเผยข้อมูลที่เหลือของมือถือรุ่นนี้ออกมาให้เห็นกันแบบเต็มๆ แล้ว
Galaxy Z Fold 2 มี “รูปร่าง” โดยรวมของตัวเครื่องไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนมากนัก แต่จะมีการปรับปรุงดีไซน์โดยการขยายหน้าจอด้านนอกให้ใหญ่ขึ้นเป็น 6.2 นิ้ว จนแทบจะเต็มพื้นที่ และใช้หน้าจอแบบ Infinity-O สำหรับวางกล้องเซลฟี่
ส่วนรอยบากที่บริเวณมุมขวาบนของหน้าจอหลักเองก็หายไปแล้ว เพราะคราวนี้ Samsung เลือกใช้วิธีการเจาะรูหน้าจอสำหรับวางกล้องเซลฟี่แทน หรือที่เรียกว่าหน้าจอ Infinity-O นั่นเอง
โดยหน้าจอหลักที่อยู่ด้านในเมื่อกางออกมาจะมีขนาดอยู่ที่ 7.6 นิ้ว ความละเอียด 2208 x 1768 แถมยังมีค่ารีเฟรชเรทอยู่ที่ 120Hz อีกด้วย ทำให้การเคลื่อนไหวบนหน้าจอ ไม่ว่าจะไถเปลี่ยนหน้า หรือการเล่นเกม (ที่รองรับ) มีความคมชัดมากขึ้น
ถัดมาในส่วนด้านข้างของตัวเครื่อง จุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากคือ ปุ่มพาวเวอร์และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะรวมกันเป็นปุ่มเดียวแล้ว
พลิกมาที่ด้านหลังเครื่อง เราจะเห็นโมดูลกล้องหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมพอสมควร วางเรียงกันในแนวตั้งและมีจำนวน 3 ตัวเท่าเดิม นอกจากนี้ตัวเครื่องยังหนาเพียง 6.0 มม. บางลงกว่ารุ่นก่อนด้วย
คราวนี้ Samsung ไปซุ่มพัฒนากระจกหน้าจอ UTG มาใหม่ ให้มีความทนทานและความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม รวมถึงตัวบานพับเองก็ถูกปรับปรุงใหม่ให้มีความแข็งแรงมากขึ้นเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น บานพับของมันยังสามารถล็อกหน้าจอได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่ 115°, 90° และ 75° ซึ่งเป็นองศาที่เหมาะกับการวางบนโต๊ะและพับหน้าจอขึ้นมาเพื่อใช้งานนั่นเอง
และด้วยการที่ Galaxy Z Fold 2 สามารถล็อกองศาหน้าจอได้ 3 ระดับ ทำให้มันสามารถใช้งาน Flex Mode ได้เหมือนกับ Galaxy Flip ไม่ว่าจะเป็นการกางจอ 75° เพื่อดูวิดีโอจากจอเล็กด้านหน้า, กางจอ 90° เพื่อถ่ายรูปแบบไม่ต้องใช้ขาตั้ง
หรือจะกางจอ 115° เพื่อใช้งานจอด้านในแบบโน้ตบุ๊ค โดยใช้จอด้านล่างเป็นคีย์บอร์ดก็ได้
Galaxy Z Fold 2 มากับฟีเจอร์ที่แสนจะสะดวกสบาย ด้วยการสลับใช้งานหน้าจอด้านนอก และด้านในได้แบบลื่นไหล ไม่มีสะดุด อย่างเช่นเรากำลังดู YouTube อยู่ ด้วยหน้าจอด้านนอก และเกิดอยากจะดูให้มันชัดกว่าเดิม ก็แค่กางจอออก จากนั้นคลิปวิดีโอดังกล่าวก็จะเปลี่ยนมาเล่นที่หน้าจอใหญ่ให้ทันที และแน่นอนว่าพอพับจอกลับ มันก็จะเด้งมาเล่นที่หน้าจอด้านนอกเหมือนเดิม
Galaxy Z Fold 2 ไม่ได้มีหน้าจอด้านในเอาไว้เพื่อความใหญ่เต็มตาเท่านั้น แต่มันยังสามารถใช้งานพร้อมๆ กันได้ถึง 3 แอป บนหน้าจอเดียว ไม่ว่าเราจะเล่นเน็ตไปด้วย เปิด YouTube ไปด้วย ในขณะที่ดูงานจาก Google Sheets ไปด้วย ก็ไม่ใช่ปัญหา แถมยังสามารถลากแอปเพื่อสลับตำแหน่งไปมาได้อย่างง่ายสุดๆ
และหากว่าเราชอบใช้ 3 แอป สุดโปรดพร้อมๆ กัน ก็สามารถตั้งกลุ่มแอปที่เปิดใช้บ่อยๆ เอาไว้ให้กดเปิดได้ง่ายๆ ทีหลังอีกด้วย ทำให้ไม่ต้องมาคอยไล่เปิดเองทีละแอป
ด้วยขนาดหน้าจอด้านในที่ใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว ทำให้ Galaxy Z Fold 2 เปิดแอป Microsoft Office ได้พร้อมๆ กัน และยังสามารถลากตาราง หรือตัวอักษรไปมาระหว่างแอปได้แบบไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะลากตารางจากแอป Excel มาใส่ใน Word หรือจะลากมาใส่ในสไลด์ของแอป PowerPoint ก็ได้สบายๆ
กล้องหลัง Galaxy Z Fold 2 มีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วย กล้อง Ultrawide 12MP + กล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 12MP
โดยกล้องของ Galaxy Z Fold 2 สามารถใช้งานคู่กับ Flex Mode ด้วยการกางจอออก 90° เพื่อใช้แทนขาตั้งกล้อง และเปิดใช้โหมด Auto Framing ที่สามารถปรับระยะซูมและการโฟกัสได้แบบอัตโนมัติ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีคนเพิ่มเข้ามาในเฟรม ตัดปัญหาไหว้วานคนอื่นให้ช่วยถ่ายรูป หรือถ่ายวิดีโอไปเลย
ยังมีโหมด Dual Preview ให้เหล่านายแบบนางแบบทั้งหลาย สามารถเล็งมุมของตัวเองได้ง่ายๆ เพราะตอนกางจอออกสุดเพื่อถ่ายรูป หน้าจอด้านหน้าตัวเครื่องจะโชว์ภาพมุมมองจากกล้องแบบ Real-time ให้หามุมที่ต้องการได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องมารอลุ้นกันทีหลังว่าจะโดนบัง หรือตกขอบหรือเปล่า
นอกจากนี้กล้องเซลฟี่ก็มีมาให้ถึง 2 ตัว สำหรับการใช้งานหน้าจอเล้กด้านหน้า และสำหรับหน้าจอใหญ่ด้านใน ด้วยกล้องความละเอียด 10MP ทั้งคู่
Galaxy Z Fold 2 มีให้เลือก 2 สีหลัก คือ Mystic Bronze และ Mystic Black พร้อมกับแบบดัดแปลง Custom Hinge เลือกสีบริเวณสันเครื่องได้ จับคู่แมทช์กันระหว่างตัวเครื่องกับสันที่มาในเฉดของ Metallic Silver, Metallic Gold, Metallic Red หรือ Metallic Blue
Galaxy Z Fold 2 เริ่มเปิด Pre-order แบบ Global ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2020 โดยมีราคาอยู่ที่ 1,999 ดอลลาร์ หรือประมาณ 62,200 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมภาษีนะครับ)
ส่วนในประเทศไทย จะเริ่มเปิดให้จองในเว็บไซต์ Samsung ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 13 กันยายน 2563 มีราคาอยู่ที่ 69,900 บาท โดยผู้ที่สั่งจองยังจะได้รับของแถมสุดพิเศษคือ Galaxy Buds Live มูลค่า 6,990 บาท, บริการ Samsung Care+ ประกันอุบัติเหตุตัวเครื่อง รวมประกันจอแตก 1 ครั้ง / 1 ปี (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) และบัตร Galaxy Butler Gold 1 ปี มีบริการห้องรับรองพิเศษ, บริการเครื่องสำรอง และบริการผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชม. โทร 1282 ครับ
01/09/2020 02:38 PM
2014 © ปพลิเคชันไทย