เผลอแป๊บเดียวปี 2020 ก็ใกล้จบเข้าไปทุกที ๆ แล้วเหลือเวลาอีกเพียงสัปดาห์เดียวเราก็จะได้เริ่มต้นปีใหม่กันเสียที และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและหวนคืนความหลังของวงการมือถือ วันนี้ Droidsans จะมารวบรวมให้ดูกันว่าเวลา 1 ทศวรรษที่ผ่านมา วงการสมาร์ทโฟนเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แล้วมือถือเมื่อ 10 ก่อนเป็นอย่างไร
เรา ๆ ที่ใช้สมาร์ทโฟนกันมาจนชินกันก็น่าจะลืมกันไปว่า 10 ปีที่แล้วสมาร์ทโฟนมันช่างต่างกับปัจจุบัณมาก ๆ ซึ่งเมื่อปี 2010 ก็ถือว่าเป็นยุคที่สมาร์ทโฟนเริ่มจะมีบทบาทในวงการเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ กับการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ Apple iPhone 4 ที่สั่นสะเทือนวงการมือถือไปด้วยสุดยอดสมาร์ทโฟนที่สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตใช้งานแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้มากมาย แถมยังเป็น iPhone รุ่นแรก ๆ ที่เราได้เห็นความนิยมในประเทศไทยไม่น้อยเลยทีเดียว
Samsung Galaxy S I900 ตัวแรกสุด
แต่ไม่ได้เพียงเท่านั้นนะ เพราะปี 2010 ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมือถือระบบปฏิบัติการหุ่นเขียวที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีทุกวันนี้ เริ่มจากมือถือ Galaxy S เครื่องแรกในปี 2010 ที่เป็นมือถือ Android เรือธงรุ่นบุกเบิกของ Samsung แถมทาง Google ก็เริ่มทำมือถือ Pure Android ของตัวเองเป็นตัวแรกอย่าง Nexus One ซึ่งมือถือเหล่านี้ก็เป็นเสมือนผู้เบิกทางสู่ความรุ่งเรืองของมือถือ Android ในตอนนี้เลยครับ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดจากฟีเจอร์โฟนไปสู่สมาร์ทโฟนก็น่าจะเป็นเรื่องของหน้าจอแสดงผล ซึ่ง 10 ปี ที่แล้วผู้ใช้งานหลาย ๆ คนก็เพิ่งจะเริ่มต้นปรับตัวเข้าหาการใช้งานมือถือแบบจอสัมผัสเต็มรูปแบบกัน ทำให้หลาย ๆ คนใน 10 ปีที่แล้วคิดว่าหน้าจอเฉลี่ยที่ 3.7 นิ้ว เป็นหน้าจอที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ๆ แต่เมื่อมองถัดมาปัจจุบัณที่มือถือ Android ส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่ง iPhone ก็ต่างมีหน้าจอของรุ่นเริ่มต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 6 นิ้วขึ้นไปทั้งนั้น
Samsung Galaxy Note ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกผสมระหว่าง Tablet กับมือถือ
เปรียบเทียบให้เห็นภาพกันชัด ๆ ทุกคนน่าจะจำ Galaxy Note รุ่นแรกที่ออกมาในช่วงปี 2011 กันได้แน่นอน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่มาก ๆ พร้อมกับ S Pen ที่มาก่อนกาลบอกได้เลยว่าใครถือคือเท่มาก ๆ ซึ่งสมัยนั้นวงการมือถือก็ได้เริ่มตั้งคำนิยามสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่แบบ Galaxy Note ว่า Phablet (Phone + Tablet) แต่เดี๋ยวก่อนนะ เพราะจริง ๆ แล้ว Galaxy Note มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.3 นิ้วเท่านั้น ซึ่งขนาดยังไม่ได้เท่ากับมือถือรุ่นเริ่มต้นของปี 2020 เลยด้วยซ้ำ
Galaxy Note 20 Ultra
แถมคำนิยาม Phablet ก็ค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ เพราะมือถือที่ค่อย ๆ เปิดตัวมาต่างก็เริ่มมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ๆ ในขณะที่ผู้ใช้งานก็เริ่มคุ้นชินกับขนาดแบบนี้กันไปแล้ว ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดกันมาก ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แถมหลาย ๆ แบรนด์ต่างก็เริ่มซอยย่อยรุ่นมือถือตามขนาดหน้าจอให้ผู้ใช้งานได้เลือกใช้กันตามความชอบอีกด้วย ซึ่งตอนนี้มือถือที่หน้าจอใหญ่ที่สุดในตลาด (แบบไม่พับ) ก็น่าจะเป็น Galaxy Note 20 Ultra ด้วยขนาดหน้าจอกว่า 6.9 นิ้วนั่นเอง
นอกจากขนาดที่คนให้ความสนใจกันเป็นหลัก ๆ แล้วก็จะมีเรื่องของความละเอียดที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ สำหรับหน้าจอมือถือ ยิ่งหน้าจอความละเอียดเยอะ ความคมชัดก็จะยิ่งสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งสมัยนั้นมือถือส่วนใหญ่ก็จะมีหน้าจอความละเอียดเฉลี่ยอยู่ที่ 800 x 480 (480P) ซึ่งความละเอียดนี้ยังไม่ได้ถึงระดับ HD เลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับสมัยนั้นหน้าจอขนาดนี้ ด้วยความละเอียดขนาดนี้ถือว่าว้าวมาก ๆ แล้วครับ แถมในปีนั้น iPhone 4 ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีหน้าจอความละเอียดสูงของตัวเองพร้อมตั้งชื่อ “Retina Display” ซึ่งเป็นหน้าจอที่มี Pixel ความละเอียดสูงมากกว่าที่ตาจะสามารถมองเห็นได้ซึ่งมีความหนาแน่น Pixel อยู่ที่ 326 ppi เลยทีเดียว
งานเปิดตัว Sony Xperia 1
แต่เมื่อมองถัดมา 10 ปีให้หลัง หน้าจอมือถือได้มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดทั้งในเรื่องของขนาดที่ใหญ่ขึ้น และความละเอียดที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งความละเอียดหน้าจอสมัยนี้อย่างมือถือตัวตัวประหยัดต่ำสุดที่รับได้เลยจะอยู่ที่ HD (720P) ไม่ต่ำกว่านี้แน่นอน แถมความละเอียดสูงสุดในมือถือเรือธงหลาย ๆ แบรนด์ก็มีอยู่ที่ Quad-HD (1440P) แถมยังมีรุ่นอย่าง Sony Xperia 1 ที่ทำหน้าจอสุดแจ่มความละเอียดไปได้มากสูงสุดถึง 4K (2160P) แล้วอีกด้วย ซึ่งถือว่าพัฒนาการที่เยอะมาก ๆ ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น
Samsung Galaxy S8 ที่เป็นมือถือรุ่นแรกของ Samsung ที่ตัดเอาปุ่ม Home ออกไป
ด้วยความต้องการหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ หลายแบรนด์ก็ต่างคิดค้นหาวิธีมากมายเพื่อที่จะเพิ่มพื้นที่สำหรับหน้าจอแสดงผล โดยที่ยังคงขนาด น้ำหนัก และความหนาตัวเครื่องเอาไว้เท่าเดิม ซึ่งมือถือรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Galaxy S8 และ S8 Plus ก็ได้ทำการตัดปุ่ม Home ที่เป็นเสมือนปุ่มเดียวที่หลงเหลืออยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟน กลับหายไป และมีตัว Virtual Button มาแทนด้านล่าง ทำให้ตัวเครื่อง Galaxy S8 ให้ความรู้สึกที่ไร้ขอบน่าใช้มาก ๆ
เปรียบให้เห็นภาพกันง่าย ๆ กับมือถืออย่าง Galaxy S ที่เปิดตัว 10 ปีที่แล้วมีค่าสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 57.88% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ Galaxy S20 ที่มีสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 90.62% เท่านั้น
น่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในวงการมือถือกับอัตรารีเฟรชเรทหน้าจอที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ๆ เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้วซึ่งมือถือทั้งหมดในช่วงปีก่อนล้วนแต่มีรีเฟรขเรทอยู่ที่ 60Hz ทั้งสิ้น และผู้ใช้งานทุกคนก็ไม่ได้ตะหงิดอะไรเท่าไหร่ ทำให้มือถือแต่ละเจ้าต้องวัดความลื่นกันที่ UI และความเสถียรของเครื่องกันเป็นหลัก
Razer Phone ที่มาพร้อมกับหน้าจอ refresh rate สูง 120Hz
แต่หลังจากปี 2017 เป็นต้นมาเราก็ได้เห็นแบรนด์งูเขียวชื่อดังอย่าง Razer หัวใสออกมาตีตลาดมือถือเพื่อการเล่นเกมเป็นหลักด้วยหน้าจอรีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz ทำให้เป็นมือถือรุ่นแรกที่มาพร้อมกับหน้าจอรีเฟรชเรทสูงกว่าปกติที่ 60Hz หลักจากนั้นแบรนด์มือถือต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นข้อดีของหน้าจอรีเฟรชเรทสูง ๆ ที่ช่วยให้หน้า UI ลื่นไหลหน้าใช้ขึ้นมาก ๆ เราจึงได้เห็นมือถือรุ่นใหม่ ๆ ในปี 2020 ที่มาพร้อมกับหน้าจอรีเฟรชเรทสูงกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น 90Hz หรือ 120Hz แถมปีนี้เรายังได้เห็นมือถือราคาประหยัดอย่าง Mi 10T Pro ที่มีหน้าจอรีเฟรชเรทสูงถึง 144Hz กันอีกด้วย
Xiaomi Mi 10T Pro ที่มาพร้อมหน้าจอลื่น 144Hz
แต่ก็ไม่ใช้ทุกแบรนด์นะที่จะเริ่มหยิบหน้าจอรีเฟรชเรทสูงมาใช้งาน เพราะอย่างใน iPhone 12 ตัวล่าสุดทุกรุ่นที่ตอนแรกมีการคาดการณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะเอาหน้าจอรีเฟรชเรทสูงมาใช้ในมือถือรุ่นใหม่เหมือนกับที่เคยทำไปใน iPad Pro สุดท้ายแล้วก็ยังคงใช้หน้าจอ 60Hz เหมือนเดิมด้วยเหตุผลเรื่องแบตเตอรี่ แต่ผู้ใช้งาน Apple หลาย ๆ คนก็ยังพอใจในความลื่นไหล และความเสถียรของ iOS กันอยู่จนขายดีกันเป็นเทน้ำเทท่าเหมือนทุก ๆ ปี และจากประสบการณ์ส่วนตัวก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่า 60Hz บน iPhone นั้นมีความลื่นไหลใช้แล้วไม่ได้รู้สึกขัดใจเลย
Galaxy Note Edge ที่มาพร้อมจอโค้งด้านข้างสวยงาม
หน้าจอมือถือ 10 ปีที่แล้วต่างก็ใช้แบบเดิม ๆ เป็นแบบหน้าจอแบนเรียบไปกับขอบไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่ในช่วงปีหลัง ๆ มานี้เราได้เห็นมือถือหลาย ๆ แบรนด์ที่ได้นำเอาความยืดหยุ่นของหน้าจอ AMOLED เพื่อมาทำให้ขอบมีความโค้งมน สร้างรูปแบบหน้าจอที่ให้ความรู้สึกไร้ขอบมากขึ้น เริ่มจาก Samsung ที่ได้เริ่มมือถือไลน์ใหม่ในชื่อGalaxy Edge ที่มาพร้อมกับหน้าจอขอบโค้งที่สามารถแตะขอบข้าง ๆ เป็นฟีเจอร์ลัดได้ จนเมื่อเวลาผ่านไป ซีรีส์ Edge ก็ได้หายไป แล้วจอขอบโค้งก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่มักจะติดมาในมือถือเรือธงหลาย ๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Galaxy S20 Series, Huawei Mate 40, OPPO Find X2 Pro และอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากหน้าจอโค้งที่กลายเป็นเรื่องปกติกันไปแล้ว แต่ปี 2020 น่าจะเป็นปีทองของมือถือพับได้จริง ๆ เพราะเรา ๆ ต่างก็ได้เห็นหน้าตามือถือพับได้เจ๋ง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นมือถือพับด้านข้างแบบ Galaxy Z Fold 2 หรือจะเป็นมือถือ Clamshell สุดเท่แบบ Galaxy Z Flip ก็เปิดตัวออกมาให้เราได้เห็นกันว่าสมาร์ทโฟนสมัยนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นมือถือหน้าจอสีเหลี่ยมรูปร่างจำเจอีกต่อไป
นอกจากสเปคด้านในจะต้องเจ๋งแล้ว เรื่องหน้าตาความหล่อก็สำคัญไม่แพ้กันอีกด้วย ซึ่งสมาร์ทโฟน 10 ปีที่ผ่านมาก็ต้องบอกเลยว่ายิ่งเปิดตัวกันมาก็ยิ่งสวยดูล้ำไปด้วยดีไซน์ และวัสดุใหม่ ๆ เต็มไปหมด
บาก และติ่งกล้องหน้าแบบต่าง ๆ ในสมาร์ทโฟนยุคปัจจุบัณ
สมาร์ทโฟนในปีหลัง ๆ ต่างก็พยายามที่จะสรรหาวิธีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อที่จะเอากล้องหน้าออกไปจากหน้าจอมือถือเพื่อที่จะได้มีสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่สูงขึ้น ซึ่งวิธีแรกที่เราได้เจอกันก็จะเป็นลักษณะของ Notch (รอยบาก) นั่นเอง ซึ่งเจ้าตัวรอยบากก็เข้ามาช่วยให้รู้สึกเหมือนมีพื้นที่หน้าจอที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังมีผู้ใช้งานหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่ามันเกะกะลูกหูตาเสียเหลือเกิน
เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า iPhone X เป็นคนบุกเบิกดีไซน์รอยบากเป็นแบรนด์แรก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูก และผิดในเวลาเดียวกัน (ขึ้นอยู่กับว่าผู้อ่านจะให้ความหมายรอยบากว่าอย่างไรนะ) เพราะ LG V10 เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกที่ใส่หน้าจอที่สองมาบริเวณส่วนบนของตัวเครื่องเพื่อวางกล้องหน้าลักษณะคล้ายรอยบาก ทำให้หน้าจอมีความรู้สึกที่กว้างขึ้นนั่นเอง
LG V10 ที่มาพร้อมกับหน้าจอแยกด้านบนทำหน้าที่คล้ายรอยบาก
หลังจากนั้นแบรนด์มือถือหน้าใหม่อย่าง Essential Phone ก็ได้เปิดตัวมือถือที่มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า Notch จริง ๆ อย่าง Essential Phone PH1 ที่มากับดีไซน์หน้าจอพร้อมกล้องหน้าเป็นติ่งเล็ก ๆ แทรกออกมาตรงกลางหน้าจอ ทำให้มีพื้นที่แสดงผลเยอะขึ้นมาก ๆ และช่วงนั้นมือถือเครื่องนี้ก็ถือว่าเป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากในวงการสมาร์ทโฟน
Essential Phone PH1 วางเทียบกับ Mi Mix 2
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็ได้เห็นมือถือหลากหลายแบรนด์ที่เริ่มนำเอาดีไซน์แบบ Notch เข้ามาใช้ แล้วตัดปุ่มโฮมออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่าง Pixel 3 XL ที่มีนอทช์ที่แคบลง ไปจนถึง OPPO R17 ที่มีดีไซน์เป็นนอทช์หยดน้ำตัวแรก
ถัดมาไม่นานก็เริ่มมีแบรนด์อย่าง OPPO และ Vivo ที่เริ่มคิดนอกกรอบเอาส่วนประกอบขยับได้มาช่วยทำเป็นตัวกล้องแบบโมเตอร์ฝังอยู่ในตัวเครื่อง และจะเปิดออกมาก็ต่อเมื่อเปิดแอปกล้องทำให้มือถือเหล่านีเป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ที่ไม่มีอะไรมาบดบังหน้าจอเลย แต่ก็ดูเหมือนวิธีนี้จะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเท่าไหร่เพราะส่วนประกอบที่ขยับได้ก็มักจะสึกหรอไปตามกาลเวลาพึ่งพาไม่ได้ซักเท่าไหร่
รูป Huawei Nova 4 พร้อมกล้องเจาะรูตัวแรก
จน Huawei Nova 4 เปิดตัวออกมาพร้อมกับกล้องหน้าแบบเจาะรูตัวแรกของซึ่งถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกล้องหน้าก็กินพื้นที่ไปน้อยแถมส่วนตัวผมก็คิดว่าเป็นดีไซน์ที่เหมาพสมที่สุดแล้ว จนกระทั่งทาง Samsung ก็ได้เอาดีไซน์นี้ไปพัฒนาเพิ่มเป็นหน้าจอแบบ Infinity-O บน Galaxy A8s ที่เรา ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดีในตอนนี้นั่นเอง
มือถือเมื่อ 10 ที่แล้วส่วนใหญ่ต่างก็ใช้เป็นวัสดุแบบเดียวกันอย่างพลาสติกเป็นหลัก เนื่องจากความทนทาน ราคาถูก และน้ำหนักที่เบาทำให้มือถือ แม้กระทั่งเรือธงสมัยนั้นนิยมใช้พลาสติกเป็นวัสดุหลักเสียส่วนใหญ่ แต่ก็จะมีทางด้านของ iPhone 4 ที่มาแปลกกว่าใครเพื่อนในยุคนั้นด้วยฝาหลังจะจก และบอดี้เป็นอลูมีเนียม ให้ความรู้สึกที่มีราคา และพรีเมี่ยมขึ้นมาก ๆ
HTC One ที่มาพร้อมกับตัวเฟรมเป็นโลหะทั้งเครื่อง
ซึ่งสมาร์ทโฟนตัวเรือธงหลัง ๆ ก็เริ่มมีการใช้ฝาหลังเป็นกระจก และตัวเฟรมเป็นอลูมิเนียมมากขึ้นเริ่มจาก HTC One ที่เริ่มทำมือถือเป็นโลหะหนึ่งชิ้นให้ความรู้สึกที่พรีเมียมสมราคา มาจนถึง Galaxy S6 ที่เริ่มหยิบดีไซน์ฝาหลังเป็นกระจกแบบถอดไม่ได้ และบอดี้อลูมีเนียมมาใช้อีกด้วย
Samsung Galaxy Note 20 ที่มาพร้อมกับฝาหลังแบบ Glasstic
แต่ปี 2020 ก็มีเทรนด์แปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาให้เราเห็นกันอย่างวัสดุที่เรียกว่า Reinforce Polycarbonate (พลาสติกความทนทานสูง) ที่ได้ถูกทำไปใช้ในมือถือเรือธงอย่าง Galaxy Note 20 ตัวใหม่ ซึ่งก็ได้สร้างความงงงวยให้กับผู้ใช้งานว่ามันเหมาะสมไหมกับราคาหลัก 30,000 ต้น ๆ แบบนี้ แต่
สมัยก่อนใครจะไปคิดว่ากล้องบนมือถือจะกลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์หลักที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจำนวน Mega Pixel ที่มากขึ้น เซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น หรือเทคโนโลยีมากมายที่ใส่เข้ามาทำให้กล้องมือถือเริ่มจะเข้ามาก่อกวนตลาดกล้องมากขึ้นทุกที ๆ
HTC One M8 ที่มาพร้อมกับ Depth sensor เป็นเครื่องแรก
หลายปีหลัง ๆ ที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกล้องมือถือที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก (จำนวนมากขึ้น) ด้วยความที่เลนส์ระยะต่าง ๆ ทำเป็นต้องขยับได้เพื่อให้ได้ระยะหลาย ๆ แบบ เลยมีแบรนด์มือถือหัวใส ใสกล้องเข้าไป 2 ตัวกับเลนส์ 2 ชนิดเพื่อให้สามารถเปลี่ยนได้ตามสะดวก เริ่มต้นจาก HTC M8 ที่ใช้กล้อง 2 ตัวโดยให้กล้องรองเก็บรายละเอียดสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมเพื่อสร้าง Depth of Field เพิ่มเติม ทำให้เกิดภาพหน้าชัดหลังเบลอนั่นเอง
LG G5 ที่มาพร้อมกับกล้อง Ultra-wide เพื่อถ่ายภาพมุมกว้าง
หลังจากนั้นมือถือหลาย ๆ แบรนด์ก็เริ่มทำตามโดยเอากล้องหลาย ๆ ระยะมาใส่เพิ่มเช่น LG G5 ที่ใส่กล้อง Ultra-wide ความละเอียด 8MP มาใส่เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสเลนส์กล้องที่กว้างสุดลูกหูลูกตากว่าที่เคยเห็นกันมาก่อนมาก
iPhone 7 Plus ที่มากับกล้องเทเลโฟโต้อีกตัว
หลังจากที่ทางค่าย Android เริ่มมีกล้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ทาง Apple ก็ไม่ลังเล เริ่มใส่กล้องตัวที่ 2 เข้ามาใน iPhone 7 Plus โดยกล้องตัวที่สองเป็นกล้องเทเลโฟโต้ มีระยะซูมที่ไกลขึ้น แถมไม่เสียคุณภาพรูปอีกด้วยเพราะเป็นการซูมแบบ optical
Huawei Mate 20 และ 20 Pro
หลังจาก Dual Camera กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของกล้องบนมือถือในช่วงนั้น ถัดมาในช่วงต้นปี 2018 ทาง Huawei ก็ได้เปิดตัวมือถือเครื่องใหม่อย่าง Huawei P20 และ Mate 20 Pro ที่ได้ยกระดับกล้องบนมือถือขึ้นไปอีกขั้นด้วยกล้องทั้งหมดถึง 3 ตัวด้วยกันซึ่ง Huawei P20 ก็มาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 40 ล้าน กล้องเทเลโฟโต้ และกล้อง ขาว-ดำ เอาไว้สำหรับการถ่ายรูปกลางคืนที่ดีขึ้น แล้วค่อยมาเปลี่ยนเป็นกล้อง Ultra-wide ใน Huawei Mate 20 Pro
หลังจากนั้นไม่นานทาง Samsung ก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัวมือถือ Galaxy A9 พร้อม Quad-camera (กล้องสี่ตัว) เป็นรุ่นแรกซึ่งก็ขนขบวนเลนส์มาครบทุกชนิดตั้งแต่กล้องหลักธรรมดา กล้องเทเลโฟโต้สำหรับซูม กล้อง Ultra-wide เอาไว้ถ่ายมุมกว้าง และกล้อง Depth อีกตัวเอาไว้สำหรับถ่ายหน้าชัดหลังเบลอถือว่าครบครันมาก ๆ เลย
Samsung Galaxy S20 Ultra ที่มาพร้อมกล้อง 4 ตัว
หลังจากผ่านสงครามจำนวนกล้องกันมาซักพัก ทั้งผู้ใช้งาน และก็แบรนด์ต่าง ๆ ก็เริ่มรู้กันแล้วว่าเลนส์ไหนที่ควรมี และเลนส์ไหนที่ควรปล่อยไป ทำให้เราเห็น Set-up กล้องที่มีประมาณ 3 ตัวเสียส่วนใหญ่ หรือในเรือธงพรีเมียมบางตัวก็มี 4 อย่าง Galaxy S20 Ultra ในขณะที่ Pixel 5 ก็ยังขนมาเพียงกล้องหลักความละเอียด 12MP และกล้อง Ultra-wide อีกตัวแต่ก็ยังผู้ใช้งานหลาย ๆ คนที่ชื่นชอบกล้องของ Pixel 5 อยู่
การสร้างเอฟเฟค Depth of field เป็นอะไรที่ทำได้ค่อนข้างยากมากในกล้องสมาร์ทโฟน ซึ่ง Hardware สมัย 10 ปีที่แล้วก็ถือว่าค่อนข้างเป็นไปได้ยากพอตัวที่จะทำได้ ด้วยขนาดรูรับแสง และเซนเซอร์ที่มีขนาดเล็ก แต่มือถือในปีหลัง ๆ มานี้เราก็ได้เห็นการใส่เซ็นเซอร์จำพวก Depth เข้ามาเพื่อหาความตื้นลึกหนาบาง แล้วใช้ Software เพื่อสร้างเอฟเฟคหน้าชัดหลังเบลอที่เราได้เห็น ๆ กันนั่นเอง ซึ่งมือถือเครื่องแรกที่มาพร้อมกล้อง Depth ก็จะเป็น HTC M8 ที่เป็นมือถือเครื่องแรกที่มาพร้อมกับกล้อง 2 ตัวช่วยให้เวลาถ่ายรูปแล้วเกิดเอฟเฟคหน้าชัดหลังเบลอมี Depth ที่สมจริงนั่นเอง
หลังจากนั้นแบรนด์มือถือต่าง ๆ ก็เริ่มมีการใส่เซนเซอร์ Depth เข้ามาเรื่อย ๆ เพื่อเข้ามาช่วยในการถ่ายรูปแบบหน้าชัดหลังเบลอ ยกตัวอย่างเด่น ๆ เช่น LiDAR ของ iPhone 12 Pro และ iPad Pro ที่ทำหน้าที่เหมือนเซนเซอร์ Depth เข้ามาช่วยให้ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ขุมพลังที่อยู่ภายใต้การทำงานของมือถือทุกเครื่องก็จะเป็นอะไรอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากชิปเซ็ตที่เป็นเหมือนสมองของตัวเครื่อง ที่คอยช่วยประผลต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของกราฟิก และการทำงานทั่วไป ซึ่ง 10 ปีที่แล้วมือถืออย่าง Nexus One และ HTC Incredible ที่ใช้ชิป Snapdragon รุ่นแรก ๆ ต่างก็มีประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อเทียบกับมือถือในชั้นเดียวกัน
ทางฝั่งของ Sa
02/01/2021 05:15 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย