ช่วงท้ายปี 2020 นี้ เรียกได้ว่ามีโครงการจากภาครัฐออกมารัว ๆ กันเลยทีเดียว ล่าสุดก็มีโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงานก็ได้ทำบทความวิธีลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งกันไปแล้ว ทำให้หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า แต่ละโครงการมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เงื่อนไขการใช้สิทธิ์มีอะไรบ้าง แล้วแบบไหนคุ้มกว่ากัน สามารถหาคำตอบกันได้ในบทความนี้ครับ
สำหรับ โครงการช้อปดีมีคืน คือ หนึ่งในมาตรการจากภาครัฐที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปี 2563 (คล้ายช้อปช่วยชาติในปีก่อน ๆ) โดยการให้ประชาชนซื่้อสินค้าและบริการพร้อมเก็บหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบเสร็จรับเงิน เพื่อมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยรวมใบเสร็จกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน และสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามลำดับขั้นบันได สูงสุดที่ 10,500 บาท
โดยจะต้องซื้อสินค้าหรือบริการในช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 นี้เท่านั้น และจะใช้ลดหย่อนภาษีรายได้ของปี 2563 ได้ตอนช่วงเดือน มี.ค. 2564
โครงการนี้จะใช้ได้เฉพาะบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีเท่านั้น หากเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีก็จะไม่สามารถเอาเงินค่าลดหย่อนภาษีตรงนี้ได้ โดยบุคคลที่จะสามารถใช้สิทธิ์ในโครงการช้อปดีมีคืนได้นั้น ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ในตารางนี้จะคำนวณจากการซื้อสินค้าและบริการแบบครบจำนวน 30,000 บาท ซึ่งจะลดหย่อนภาษีได้ดังนี้
รายได้รวมสุทธิต่อปี | ฐานหักภาษี | เงินลดหย่อนสูงสุด |
ไม่เกิน 150,000 บาท | ไม่ต้องเสีย | 0 |
150,001 – 300,000 บาท | 5% | 1,500 บาท |
300,001 – 500,000 บาท | 10% | 3,000 บาท |
500,001 – 750,000 บาท | 15% | 4,500 บาท |
750,001 – 1,000,000 บาท | 20% | 6,000 บาท |
1,000,001 – 2,000,000 บาท | 25% | 7,500 บาท |
2,000,001 – 5,000,000 บาท | 30% | 9,000 บาท |
5,000,001 บาทขึ้นไป | 35% | 10,500 บาท |
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า คนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุดคือ คนที่มีฐานรายได้สูง ๆ มีฐานการหักภาษีที่สูง ๆ ซึ่งสามารถเอาไปลดหย่อนได้สูงสุดถึง 10,500 บาทเลยทีเดียว แต่หากเป็นคนที่มีรายได้อยู่ในช่วงตั้งแต่ 0 – 300,000 บาทต่อปี โครงการนี้อาจจะดูไม่คุ้มเท่าไหร่นัก เพราะได้เงินคืนน้อยกว่าโครงการคนละครึ่งที่ได้เงินคืน 3,000 บาท
สำหรับใครที่มีรายได้รวมอยู่ช่วง 300,001 – 500,000 บาทต่อปี คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างโครงการช้อปดีมีคืนและคนละครึ่ง เพราะต่างก็ได้เงินคืนสูงสุด 3,000 บาทเท่ากัน ถ้าเน้นใช้จ่ายรายวันก็แนะนำให้เลือกโครงการคนละครึ่ง หากเน้นซื้อของที่มีมูลค่าสูง ราคาหลักหมื่นก็แนะนำให้ใช้โครงการช้อปดีมีคืนก็คุ้มเช่นกัน
หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า หากเราสมัครโครงการคนละครึ่งไปก่อนหน้านี้ แล้วจะเปลี่ยนมาใช้ช้อปดีมีคืน สามารถทำได้ไหม เผื่อเอาไปซื้อของใหญ่ช่วงสิ้นปีแทน อันนี้บอกเลยว่า สามารถทำได้โดยการไม่ต้องใช้จ่ายเงินตามที่กำหนด 14 วัน ระบบจะตัดสิทธิ์โครงการคนละครึ่งโดยอัตโนมัติ และสามารถเข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืนได้ตามปกติต่อไป
ช้อปดีมีคืน | คนละครึ่ง | |
รูปแบบการใช้ | ซื้อสินค้าและบริการที่อยู่ในระบบ VAT, หนังสือ และสินค้า OTOP มาใช้ลดหย่อนภาษี | ซื้อสินค้ากับร้านที่ร่วมโครงการ รัฐลดช่วยออกให้ 50% |
เงื่อนไขการใช้ | ซื้อของมูลค่ารวมได้สูงสุด 30,000 บาท | ซื้อของกับร้านที่ร่วมโครงการ รัฐออกให้วันละไม่เกิน 150 บาท |
เงินที่ได้คืนสูงสุด | 10,500 บาท | 3,000 บาท |
สิ่งที่ต้องใช้ | ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป, ใบเสร็จรับเงิน เก็บไว้เอามาลดหย่อน | แอป G-Wallet บนมือถือ เติมเงินแล้วจ่ายได้ทันที |
การลงทะเบียน | ไม่ต้องลง | www.คนละครึ่ง.com |
ระยะเวลาที่ใช้ได้ | 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 | |
เหมาะกับใคร |
|
|
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า โครงการช้อปดีมีคืนนี้ก็คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงท้ายปี 2563 เพื่อให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งในช่วงท้ายปีนี้เองก็มีของใหม่ ๆ เปิดตัวมากันซะเยอะเหลือเกิน แต่ละอย่างน่าซื้อทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone 12, PlayStation 5 และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่กำลังเล็ง ๆ อะไรไว้อยู่ก็ให้รอซื้อหลังวันที่ 23 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปได้เลยครับ อ้อ ! แล้วก็อย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ ทำหายขึ้นมาจะเอามาลดหย่อนภาษีไม่ได้น้าาา…
ที่มา : bangkokbiznews (1, 2)
23/10/2020 01:30 AM
23/10/2020 08:35 AM
23/10/2020 07:14 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย