ปัจจุบันสมาร์ทโฟนราคาพันปลาย ๆ ไปจนถึงหมื่นต้น ๆ ถือว่ามีหลากหลายรุ่นให้เลือกซื้อกันแบบเยอะมาก ๆ ซึ่งวันนี้ DroidSans ก็ขอมาเล่าประสบการณ์การใช้งาน realme 8 5G, Vivo Y72 5G และ Galaxy A32 5G กันแบบเจาะลึกว่าเป็นยังไง แต่ละรุ่นมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร หลังจากใช้งานช่วง WFH แบบเต็ม ๆ มาอยู่หลายสัปดาห์
realme 8 5G ถือเป็นรุ่นเดียวในนี้ ที่ใส่รีเฟรชเรทมาให้สูงสุดถึง 90Hz ซึ่งแน่นอนว่าพอถึงเวลาใช้งานจริง ๆ ประสบการณ์ที่ได้รับจาก realme 8 5G จะมีความละมุนและลื่นนิ้วกว่าประสบการณ์เวลาใช้ Vivo Y72 5G หรือ Galaxy A32 5G อยู่พอตัวเลย คือไม่ใช่ว่าจอ 60Hz มันไม่ดี แต่ 90Hz ดีกว่าเยอะมาก ๆ
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องอัตรารีเฟรชสูง ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการใช้จอรีเฟรชเรท 60Hz อยากเน้นไปที่การประหยัดพลังงานตัวเครื่องมากกว่า ตรงนี้ realme 8 5G ก็มีตัวเลือกให้กลับไปใช้แบบ 60Hz หรือว่าตั้ง Auto ไว้ ให้ระบบตัดสินใจเองว่าตอนไหนควรใช้รีเฟรชเรทเท่าไหร่ ซึ่งสามารถปรับได้สองระยะ คือ 60Hz และ 90Hz นั่นเอง
สองพี่น้องแบรนด์จีนอย่าง realme 8 5G และ Vivo Y72 5G ต่างเลือกใช้หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ เหมือนกัน ส่วน Galaxy A32 5G หนึ่งเดียวจากเกาหลีใต้ กลับยังใช้จอแบบ TFT LCD อยู่ซะงั้น ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างจอทั้งสองประเภทนี้คือ TFT LCD จะให้มุมมองที่แคบ แสดงผลสีได้ไม่ค่อยสดเท่าที่ควร รวมไปถึงดันความสว่างจอได้ไม่สูงเท่า
หน้าจอของทั้งสาม ถ้าเจอแดดจ้า ๆ ก็ลำบากเหมือนกัน
แต่รวม ๆ หน้าจอของ Galaxy A32 5G ถือว่าใช้งานได้ตามปกติ จอ TFT LCD ไม่ได้แย่ การตอบสนองทุกอย่างทำออกมาได้น่าพอใจ คือถ้าไม่ได้เอาไปเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวกับมือถือจอ IPS LCD ก็แทบไม่ได้รู้สึกเลยว่าจอมันแย่
สมาร์ทโฟนที่ผมนำมารีวิวเปรียบเทียบในครั้งนี้ ไม่ว่าจะ realme 8 5G, Vivo Y72 5G และ Galaxy A32 5G ต่างรองรับการเข้ารหัส Widevine ระดับ L1 ด้วยกันทั้งสิ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือสามารถดู Netflix ได้ที่ความละเอียดสูงสุดแบบ High Definition หรือ HD นั่นเอง
ในแง่การใช้งานทั่วไป ทั้งสามสมาร์ทโฟนถือว่าสอบผ่าน ไม่มีอะไรต้องติ หน้าตา UI ค่อนข้างเป็นมิตร ใช้งานง่าย ต่อให้ไม่เคยใช้งานมาก่อน ก็น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก
ภาพตัวอย่าง realme UI
ภาพตัวอย่าง Funtouch OS
ภาพตัวอย่าง One UI
มาถึงเรื่องของการจัดการทรัพยากร RAM กันบ้าง โดยสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมกับ RAM ขนาด 8GB เหมือนกันหมด ซึ่งนั่นหมายความว่า ทั้งสามรุ่นสามารถเปิดแอปทิ้งไว้ 10 – 15 แอปได้แบบไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะมีความช้าลง ประมวลผลนานขึ้นหรือเปล่า เพราะ RAM ขนาดนั้น น่าจะจัดการอยู่ได้แบบไม่ยาก
แต่จากที่ใช้งานมา พบว่าทั้งสามยังมีการแอบ Kill Background Process หรือปิดแอปทิ้งเองอยู่บ้างเป็นครั้งคราว โดยที่เป็นหนักสุดก็คือ Vivo Y72 5G ที่แอปใน RAM แอบมีโหลดใหม่อยู่หลายรอบ
ชิปเซ็ตที่ใช้ขับเคลื่อนสมาร์ทโฟนทั้งสาม ต่างเป็นของ MediaTek ซีรีส์ Dimensity ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 7 นาโนเมตรของ TSMC ด้วยกันทั้งหมด จะต่างตรงที่ชิปของ Galaxy A72 5G เป็น Dimensity 720 ส่วน realme 8 5G และ Vivo Y72 5G ใช้เป็นตัวของ Dimensity 700 แทน ซึ่งหากกางสเปคออกมาดูจริง ๆ แม้ว่าตัวเลขจะน้อยกว่า แต่ชิป Dimensity 700 กลับมีประสิทธิภาพความแรงที่ดีกว่าเล็กน้อยซะงั้น
แต่พอเอาไปใช้งานจริง ๆ ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าถึงความแตกต่างนะ ซึ่งผลคะแนน Benchmark จากแอปต่าง ๆ อาจจะมีการเฉื่อนคะแนนกันเล็กน้อย
เรียงจากซ้ายไปขวา: realme 8 5G – Vivo Y72 5G – Galaxy A32 5G
ทั้งสามสามารถนำไปเล่นเกมแบบปรับกราฟิก Default ค่าเริ่มต้นได้แบบสบาย ๆ ซึ่งจริง ๆ จะดันกราฟิกให้สูงกว่านี้ก็ได้ แต่อาจจะทำให้เครื่องร้อน และมีอาการกระตุกมาถามหาบ
06/05/2021 07:32 AM
2014 © ปพลิเคชันไทย